อินเดียพบคอลเซนเตอร์พุ่ง 7,000 คดี/วัน ผนึกไทยปราบจริงจัง

ตำรวจไทย–อินเดียหารือร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบอินเดียมีคดีสูงเฉลี่ย 7,000 คดีต่อวัน พร้อมชื่นชมมาตรการรัฐบาลไทยในการตัดไฟ-เน็ต-น้ำมัน เมียวดี
คอลเซนเตอร์ข้ามชาติ 7,000 คดีต่อวัน เมื่ออินเดียจับมือไทยไล่ล่าต้นตออาชญากรรมดิจิทัล
การเดินทางเยือนประเทศอินเดียของ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย นำไปสู่ข้อเท็จจริงที่ชวนตกใจ อินเดียกำลังเผชิญกับคลื่นอาชญากรรมทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซนเตอร์ที่สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจไซเบอร์อินเดียระบุว่า มีการแจ้งความคดีคอลเซนเตอร์เฉลี่ยมากถึง 7,000 คดีต่อวัน ขณะที่ไทยมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 800 คดีต่อวัน
สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่คือรูปแบบการก่ออาชญากรรมที่เริ่มเชื่อมโยงถึงกันอย่างซับซ้อน ทั้งในแง่เครือข่ายคนทำงาน การใช้เทคโนโลยีสื่อสาร และแหล่งปฏิบัติการซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดนของประเทศที่มีโครงสร้างการควบคุมต่ำ เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา
กลไกหลอกลวงและต้นตอการจัดจ้าง
คนอินเดียจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของขบวนการจัดหางานปลอมที่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย มีการอ้างว่าจะได้รับงานในประเทศไทย และได้รับสิทธิ์การเดินทางฟรี เมื่อเหยื่อเดินทางถึงไทย พวกเขาจะถูกนำพาออกนอกเส้นทางปกติ ลักลอบเข้าเขตเมืองเมียวดีของเมียนมา หรือเมืองปอยเปต พนมเปญ และสีหนุวิลล์ของกัมพูชา รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำของลาว จุดหมายปลายทางเหล่านี้ไม่ได้เป็นแหล่งงานจริง แต่กลับเป็นศูนย์กลางการทำงานของแก๊งคอลเซนเตอร์ที่หลอกประชาชนในประเทศอินเดียเอง
รายงานพบว่า การหลอกลวงไม่เพียงเกิดจากการโทรศัพท์หรือแชตธรรมดา แต่มีการแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอินเดียผ่านวิดีโอคอล หรือ “Digital Arrest” ที่ใช้เทคนิคข่มขู่เพื่อให้เหยื่อโอนเงินด้วยความหวาดกลัว คล้ายกับกรณี “กองร้อยปอยเปต” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งใช้กลวิธีเดียวกัน
บทบาทไทยในสมรภูมิการปราบปราม
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการหยุดยั้งเครือข่ายนี้ หนึ่งในมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากฝ่ายอินเดียคือการตัดระบบไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ในพื้นที่เป้าหมาย เช่น เมืองเมียวดี และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ของเมียนมา ซึ่งถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซนเตอร์ข้ามชาติ การดำเนินการดังกล่าวมีผลอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ไทยสามารถควบคุมตัวบุคคลที่ทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ได้มากถึง 7,514 คน จากทั้งหมด 8,988 คนที่ได้รับการยืนยัน โดยบุคคลเหล่านี้มาจาก 36 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน อินโดนีเซีย และอินเดียตามลำดับ
ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมจำนวนมากถูกส่งกลับประเทศต้นทางแล้ว ขณะที่บางส่วนยังอยู่ระหว่างรอการดำเนินการ ทั้งนี้มีรายงานว่าเงินบางส่วนที่ได้จากการหลอกลวงถูกถอนออกจากบัญชีในไทย และมีการใช้เครือข่ายโทรคมนาคมของไทยเป็นส่วนหนึ่งของแผนหลอกลวง
เมื่อภัยดิจิทัลกลายเป็นวิกฤตความมั่นคง
ตัวเลขความเสียหายจากคดีคอลเซนเตอร์ที่อินเดียประเมินว่าอยู่ที่กว่า 43,000 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะกรณีการหลอกให้ลงทุน ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่ระบาดในวงกว้างเกินกว่าจะมองเป็นเพียงคดีหลอกลวงรายบุคคล ความเสียหายเหล่านี้กระทบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจครัวเรือน ความเชื่อมั่นในระบบธนาคาร ไปจนถึงการดำเนินนโยบายด้านเทคโนโลยีของแต่ละประเทศ
การที่อินเดียและไทยร่วมมือกันในเชิงนโยบาย การสืบสวน และการพัฒนาระบบข่าวกรองข้ามชาติ คือก้าวแรกที่สำคัญในการจัดการกับปัญหานี้อย่างยั่งยืน บทบาทของนายกรัฐมนตรีไทยในฐานะผู้ผลักดันมาตรการเข้มบริเวณชายแดนก็ได้รับการยอมรับในระดับระหว่างประเทศ ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์เกิดผลจริงในเชิงปฏิบัติ
อนาคตของการร่วมมือระหว่างประเทศ
การหารือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและหน่วยงานไซเบอร์ของอินเดียเปิดทางไปสู่ความร่วมมือระยะยาว โดยทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าที่จะสร้างระบบป้องกันทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และการตั้งกลไกตรวจสอบเส้นทางเงินและข้อมูลดิจิทัลข้ามพรมแดน
ขบวนการหลอกลวงที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักนี้ ไม่ได้หยุดที่ขอบเขตของประเทศใดประเทศหนึ่ง การตอบโต้จึงจำเป็นต้องเป็นไปในระดับข้ามชาติเช่นกัน ทั้งในมิติของกฎหมาย การสืบสวน และการเจรจาทางการทูต
ในยุคที่การปล้นทรัพย์ไม่จำเป็นต้องถืออาวุธ การตั้งระบบป้องกันและตอบโต้ภัยไซเบอร์ที่เข้มแข็ง จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของความมั่นคงแห่งชาติ