รีเซต

“อิหร่าน” แล้งรุนแรง กรุงเตหะรานน้ำใกล้หมดแล้ว

“อิหร่าน” แล้งรุนแรง กรุงเตหะรานน้ำใกล้หมดแล้ว
TNN ช่อง16
3 ธันวาคม 2568 ( 11:30 )

“อิหร่าน” กำลังเผชิญวิกฤตน้ำรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติ เมื่อกรุงเตหะรานซึ่งมีประชากรกว่า 15 ล้านคน เดินหน้าเข้าสู่ภาวะ “Day Zero” หรือวันที่ระบบประปาอาจหยุดไหลโดยสิ้นเชิง ภัยแล้งต่อเนื่องหลายปีร่วมกับการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ทำให้ประเทศเข้าสู่สภาพ “ล้มละลายน้ำ” จนผู้นำต้องรื้อฟื้นแนวคิดย้ายเมืองหลวงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ

ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ซึ่งควรเป็นช่วงเวลาที่อิหร่านได้รับน้ำฝนมากที่สุด กลับแทบไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่น้อย หลายพื้นที่ของประเทศเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี อ่างเก็บน้ำสำคัญมีระดับน้ำลดลงจนใกล้แห้งขอด เตหะรานซึ่งพึ่งพาน้ำจากทั้งเขื่อนและน้ำบาดาลจึงประสบความเสี่ยงที่เมืองจะไม่มีน้ำใช้โดยสิ้นเชิง สถานการณ์เลวร้ายจนประธานาธิบดี มาซูด เปเซชเคียน ต้องออกมาเตือนว่า หากไม่เร่งแก้ไข ประเทศอาจเห็นวันที่เมืองหลวง “ไม่สามารถอยู่อาศัยได้” ในอนาคตอันใกล้ พร้อมรื้อฟื้นแนวคิดการย้ายเมืองหลวงที่เคยถูกหยิบยกมาหลายยุค แต่ไม่เคยเดินหน้าจริงจัง

แม้อิหร่านจะตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีสภาพแห้งแล้งมานานนับพันปี แต่วิกฤตรอบนี้ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศเพียงอย่างเดียว หากเป็นผลสะสมจากการใช้น้ำเกินศักยภาพต่อเนื่องหลายทศวรรษ รัฐบาลใช้นโยบายอุดหนุนค่าน้ำและพลังงาน ทำให้เกิดการสูบน้ำบาดาลเกินขีดความสามารถของธรรมชาติ ระดับน้ำใต้ดินลดต่ำลงอย่างน่ากังวล ภาคเกษตรใช้น้ำมากเกินจำเป็นในพื้นที่แห้งแล้ง ขณะเดียวกันการขยายตัวของกรุงเตหะรานดึงประชากรจำนวนมหาศาลเข้ามาอยู่อาศัย ทำให้ทรัพยากรน้ำไม่เพียงพอรองรับตั้งแต่ต้น

หลังการปฏิวัติปี 1979 อิหร่านลงทุนสร้างเขื่อนและโครงการผันน้ำจำนวนมากเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกและรองรับการเติบโตของเมือง แต่โครงการเหล่านี้กลับยิ่งทำให้ระบบน้ำเสียสมดุล แม่น้ำหลายสายแห้งเหือด ทะเลสาบสำคัญตื้นเขิน ดินกลายเป็นดินเค็ม พื้นที่ชุ่มน้ำเสื่อมโทรม และคุณภาพน้ำจืดลดต่ำลง ความแห้งแล้ง 4 ใน 5 ปีล่าสุด และฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 ที่ร้อนและแล้งที่สุดตั้งแต่ปี 1979 ส่งผลให้น้ำผิวดินและน้ำใต้ดินลดระดับอย่างรวดเร็ว ขณะที่รูปแบบฝนเปลี่ยนแปลงไปเพราะภาวะโลกร้อนยิ่งทำให้การบริหารจัดการน้ำยากลำบากกว่าเดิม

ทางออกระยะสั้นแทบไม่เหลือ นอกจากหวังว่าปริมาณฝนจะกลับมาเพิ่มขึ้น และเร่งลดการใช้น้ำในเมือง แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าผลักดันโครงการผันน้ำใหม่ เช่น โครงการ Taleqan-to-Tehran ที่ถูกนักวิชาการเตือนว่าไม่เพียงช่วยได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงทำให้ทั้งพื้นที่ต้นน้ำและปลายน้ำเสียหายไปพร้อมกัน ปัญหาหลักของเตหะรานจึงไม่ใช่การขาดแหล่งน้ำใหม่ แต่เป็นความต้องการใช้น้ำที่สูงเกินกำลังทรัพยากรอย่างถาวร

ในระยะกลางและระยะยาว นักวิชาการเสนอว่าประเทศต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาเกษตรที่ใช้ปริมาณน้ำสูง หันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยหรือพืชที่มีมูลค่าสูง เปิดประเทศมากขึ้นเพื่อลดความจำเป็นในการผลิตพืชใช้น้ำหนักโดยสามารถนำเข้าจากต่างประเทศแทน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในเมือง แก้ไขท่อรั่ว ลดการใช้น้ำฟุ่มเฟือย ใช้น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงเติมน้ำให้แม่น้ำที่แห้งเหือด ใช้เทคนิคการเติมน้ำกลับสู่ชั้นใต้ดิน (groundwater recharge) และพิจารณาการสร้างโรงงานแยกเกลือในบางพื้นที่แม้อาจต้องใช้พลังงานสูง

อย่างไรก็ตาม มาตรการทั้งหมดนี้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยการแก้ปัญหาแบบรายจุด แต่ต้องอาศัยการปฏิรูปครั้งใหญ่ ที่จัดการตั้งแต่รากของปัญหา แนวคิดการย้ายเมืองหลวง แม้สะท้อนว่าปัญหาน้ำได้ลุกลามถึงระดับความมั่นคงของประเทศ แต่หากไม่แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง การย้ายเมืองก็จะเป็นเพียงการหนีปัญหา ไม่ใช่คำตอบจริงของวิกฤตครั้งนี้

วิกฤตน้ำในอิหร่านกำลังก้าวสู่จุดเสี่ยงที่สุดเมื่อกรุงเตหะรานใกล้ถึงวันที่น้ำประปาจะหมดสิ้น ปัญหาเกิดจากทั้งภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดยาวนาน จนทำให้ประเทศใช้น้ำเกินศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ทางออกจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ลดการใช้น้ำทั้งในเมืองและภาคเกษตร และสร้างระบบจัดการน้ำที่ยั่งยืน การย้ายเมืองหลวงอาจช่วยแบ่งเบาภาระบางด้าน แต่ไม่ใช่ทางแก้ที่แท้จริงของวิกฤตล้มละลายน้ำ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง