รีเซต

TISCO เปิดงบ Q3/68 โตแกร่ง โกยกำไร 1,730 ลบ NPL ลด- รายได้เพิ่ม

TISCO เปิดงบ Q3/68 โตแกร่ง  โกยกำไร 1,730 ลบ NPL ลด- รายได้เพิ่ม
TNN ช่อง16
15 ตุลาคม 2568 ( 12:20 )
2

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2568 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ในระดับสูงตามแผนที่วางไว้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ในระดับ 16.6%

ด้านรายได้จากการดำเนินงานขยายตัว 10% ทั้งในฝั่งธุรกิจธนาคารและธุรกิจตลาดทุน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวจากต้นทุนเงินฝากที่ปรับลดลงตามภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้สินเชื่อกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ใหม่กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนขยายตัว จากการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้ากลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการออกกองทุนรวมใหม่ในภาวะตลาดทุนผันผวน ขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์อ่อนตัวลงจากปีก่อนหน้า แต่เริ่มฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน หลังความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐฯ คลี่คลายลง นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้ยังรับรู้กำไรจากมูลค่าพอร์ตเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในด้านธุรกิจสินเชื่อปรับตัวลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่กลุ่มสินเชื่อรายย่อยในไตรมาสล่าสุดเริ่มกลับมาขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียน ส่วนอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.3% ของสินเชื่อรวม และมีอัตราส่วนเงินสำรองต่อหนี้เสีย (Coverage Ratio) อยู่ที่ 171%

*เศรษฐกิจยังอ่อนแรงมองปีนี้โตแค่ 1.9-2.1% ปีหน้าลดลงเหลือ 1.6-1.8%

นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อถึง  แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีว่า ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ 19% อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าคาด ปัญหาหนี้ครัวเรือน และค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งล้วนเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยกลุ่มทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.9-2.1% ในปี 2568 และลดลงเหลือ 1.6-1.8% ในปี 2569

*สรุปผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 3 และ9 เดือนแรกของปี 2568

ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้งวดไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้รวมที่เติบโต 10.0% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3.0% จากต้นทุนเงินทุนที่ปรับลดลงเนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 25.9% ในทุกธุรกิจ รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) ตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการปล่อยสินเชื่อรถใหม่ในงวด 9 เดือนแรกเติบโต 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นเติบโตเช่นกัน รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะตลาดทุนไทยที่ฟื้นตัว รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวจากการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการออกกองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตรมาส

*ตั้งสำรองเพิ่ม 1.4% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย รับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามมูลค่าพอร์ตเงินลงทุนที่สูงขึ้น ในงวดนี้ บริษัทตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost-to-income Ratio) อยู่ที่ 43.4%

ผลกำไรงวดไตรมาส 3 ปี 2568 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 1.0% จากรายได้รวมที่เติบโต 10.1% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1.3% จากต้นทุนเงินทุนที่ปรับลดลง ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 31.6% จากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัยและรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นๆ รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวจากธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม รวมทั้งบริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ชะลอตัวลงตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.3%

*รายได้งวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 3.5%

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวน 5,017 ล้านบาท ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.0% ของสินเชื่อเฉลี่ย สอดคล้องกับแผนการตั้งสำรองกลับสู่ระดับปกติในปีนี้และรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รายได้รวมเติบโต 2.2% จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัย ธุรกิจจัดการกองทุน พร้อมด้วยการรับรู้ผลกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน

อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์อ่อนตัวลง จากผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่อ่อนแอ ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 2.8% จากแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีจำนวน 230,409 ล้านบาท ลดลง 0.8% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ในขณะที่สินเชื่อรายย่อยเริ่มกลับมาเติบโต จากสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองและสินเชื่อมอเตอไซค์ รวมถึงการขยาย Penetration Rate ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่

ทั้งนี้ บริษัทยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการให้การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลงมาที่ 2.3% ของสินเชื่อรวม และรักษาระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 171%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.9% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.8% และ 2.2% ตามลำดับ

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ปรับคำแนะนำ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป [TISCO] เป็น “ซื้อ” เดิม “ถือ” โดย TISCO รายงาน กำไรสุทธิไตรมาส 3/68 เท่ากับ 1.7 พันล้านบาท (+1.0%YoY, +5.3%QoQ) สูงกว่าที่ Bloomberg และประมาณการของเรา 8% ปัจจัยหนุน คือ รายได้ค่าธรรมเนียม และกำไรจากตีมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนสูงกว่าคาด แม้ต้นทุนเครดิตสูงกว่าคาดก็ตาม

สินเชื่อสิ้นไตรมาส 3/68 หดตัว -2.4% QoQ และลดลง -1.0%YTD (แต่เติบโตได้เล็กน้อย 0.2%YoY) โดยสินเชื่อภาคธุรกิจหดตัวมากกว่าสินเชื่อประเภทอื่น NIM ขยายตัว จากต้นทุนการเงินลดลง ขณะที่ yield สินเชื่อทรงตัว ยังผลให้ NIM เพิ่ม +15bps เทียบ QoQ และ +9bps เทียบ YoY การควบคุมค่าใช้จ่าย (OPEX) ทำได้ดี โดยค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง -0.3%YoY แต่เพิ่มขึ้น +4.4%QoQ อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (C/I ratio) อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 43.4% ในไตรมาส 3/68 (เทียบกับ 45.7% ในไตรมาส 2/68)

คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น NPL ลดลง -5.9%QoQ เป็น 5.3 พันล้านบาท โดยเป็นการลดลงของ NPL ในทุกกลุ่มสินเชื่อ ส่วน NPL ratio ลดมาที่ 2.31% สิ้นไตรมาส 3/68 (เทียบกับ 2.41% สิ้นไตรมาส 2/68 ) แม้ว่าสินเชื่อหดตัว ธนาคารตั้งสำรองในไตรมาส 3/68 สูงที่ 830 ล้านบาท (+132%YoY, +49%QoQ) หรือคิดเป็น credit cost 147bps ในไตรมาส 3/68 (เทียบกับ 99bps ในไตรมาส 2/68) สอดคล้องกับแผนการทยอยเพิ่ม credit cost กลับสู่ระดับปกติในปี 68 และรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ coverage ratio เพิ่มขึ้นเป็น 171% ณ สิ้นไตรมาส 3/68 (เทียบกับ 155% ณ สิ้นไตรมาส 2/68)

คาดกำไรสุทธิไตราส 4/68 จะลดลง YoY และ QoQ แม้สินเชื่อจะฟื้นตัวตามฤดูกาล แต่ NIM มีแนวโน้มแคบลง จาก ไม่มีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ (ซึ่งเกิดขึ้นในไตรมาส 3/68), มีผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้, และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4/68 ด้านต้นทุนการเงินทยอยลดลง แต่ช้ากว่า yield ที่ลด ส่วน non-NII คาดว่าจะอ่อนลง QoQ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้นตามฤดูกาล แต่บางส่วนได้รับการชดเชยจากต้นทุนเครดิตที่ลดลง

ปี 69 มีแนวโน้มดีขึ้นจากต้นทุนเครดิตลดลง ทั้งนี้เราคาดว่าการตั้งสำรองพิเศษจะสิ้นสุดในไตรมาส 4/68 สินเชื่อคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นตามภาพรวมเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนขึ้น ต้นทุนทางการเงินคาดว่าจะทยอยลดลง ส่งผลให้ NIM ขยายตัวได้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังอยู่ในระดับควบคุมได้ และรายได้ค่าธรรมเนียมคาดว่าจะดีขึ้น แม้รายได้ non-NII ยังเป็นตัวแปรไม่แน่นอน โดยรวม คาดว่ากำไรสุทธิปี 69 จะเติบโต +1.0%YoY (เทียบกับคาดว่าลดลง 3.9% ในปี 68)

ปรับคำแนะนำเป็นซื้อ (เดิมถือ) ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 111 บาท โดยอิงกับ P/BV ปี 26F ที่ 2.1 เท่า (Mean+1.5SD) คาดการณ์ dividend yield ปี 68-69 ไว้ที่ 7.5% ทั้งนี้การเติบโตของกำไรในปี 69 ของ TISCO ที่ประมาณ 1% นั้นดีกว่าเฉลี่ยของกลุ่มธ.พ.โดยรวมที่คาดว่ากำไรจะลดลง -10%

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง