รีเซต

สรุปทั้งปี 2568 นโยบายดอกเบี้ย ไทย-สหรัฐฯ ส่งสัญญาณเศรษฐกิจอย่างไร

สรุปทั้งปี 2568 นโยบายดอกเบี้ย ไทย-สหรัฐฯ ส่งสัญญาณเศรษฐกิจอย่างไร
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2568 ( 09:00 )
15

ตลอดปี 2568 นโยบายการเงินไทยเดินหน้าในทิศทางผ่อนคลายอย่างชัดเจน เมื่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้ง เพื่อรับมือเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด แรงกดดันจากภาคส่งออก หนี้ครัวเรือนระดับสูง และสภาพคล่องของภาคธุรกิจที่ตึงตัว บทความนี้จะพาย้อนดูทุกจังหวะการลดดอกเบี้ยตลอดปี 2568 พร้อมถอดเหตุผลสำคัญและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเงิน และภาคธุรกิจของประเทศไทย 


การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ปี 2568  มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งหมด 4 ครั้ง เเละคงอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 2 ครั้ง เริ่มตั้งเเต่

การประชุมครั้งที่ 1 วันที่ 26 ก.พ. 68 กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.00% เพราะประเมินว่าเศรษฐกิจโตช้ากว่าที่คิด ภาคอุตสาหกรรมแข่งยาก และต้องการช่วยลดภาระหนี้ให้รายย่อย


การประชุมครั้งที่ 2  วันที่ 30 เม.ย. 68 กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.75% จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่เริ่มชัดเจนขึ้น เงินเฟ้อที่ต่ำจนเสี่ยงเงินฝืด และต้องการแก้ปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยกู้ (สินเชื่อตึงตัว)


การประชุมครั้งที่ 3  วันที่ 25 มิ.ย. 68 กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% เพราะต้องการฟื้นฟูด้านภาคอสังหาฯ รับมือส่งออกที่ติดลบหนัก และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยหลุดเข้าสู่ภาวะเงินฝืด


การประชุมครั้งที่ 4 วันที่  13 ส.ค. 68 กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% เพื่อรอดูผลหลังจาก กนง. ลดดอกเบี้ยติดต่อกันถึง 3 ครั้งรวด (รวม 0.75%) ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล


การประชุมครั้งที่ 5 วันที่  8 ต.ค. 68 กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% เนื่องด้วยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและผ่อนคลายอยู่แล้ว จึงต้องการเก็บโควตาการลดดอกเบี้ย (Policy Space) ที่มีจำกัดไว้ใช้ในจังหวะเวลาที่มีประสิทธิผลสูงสุด


และการประชุมครั้ง 6 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย วันที่ 17 ธ.ค. 68 กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.25% โดยประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2569 มีความเสี่ยงจะโตต่ำกว่า 2% เเละ กนง. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2569 ลงเหลือเพียง 1.5% (จากเดิมที่คาดไว้ 1.6-1.7%)

เนื่องจากเห็นสัญญาณชัดเจนว่ากำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายปีจากผลกระทบด้าน "ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ" (US Tariffs) ความชัดเจนของนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เริ่มส่งผลลบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างรุนแรง 


กนง. จึงตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการส่งออก และประคองเศรษฐกิจให้ผ่านช่วงมรสุมการค้าโลกเผชิญความเสี่ยงภาวะ "เงินฝืด" (Deflationary Risk) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2568 ติดลบอยู่ที่ -0.49% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย (1-3%) อย่างมาก กนง. จึงต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเรื้อรัง


ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปในช่วงปลายปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทำให้สินค้าไทยราคาแพงขึ้นในตลาดโลก การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จึงช่วยลดแรงกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อช่วยภาคการส่งออกและ SMEs


สรุปภาพรวมทั้งปี 2568  คาดว่า กนง. เลือกที่จะ "ลดดอกเบี้ยทิ้งท้ายปี" เพื่อส่งสัญญาณว่าพร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจไทยที่กำลังจะเผชิญความท้าทายหนักในปีหน้า

ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)  เปิดเผยถึง ประเด็นที่ใช้พิจารณาในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งสุดท้าย ได้แก่ 


- เศรษฐกิจไทยในปี 2569 และ 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากครึ่งแรกของปี 25668 ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ และภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ ทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเกี่ยวทยอยฟื้นตัว


-อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์มีจำกัดในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศัทยภาพ โดยต้องติดตาม ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป


-สินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง โดย SMEs ถูกกดดันด้านสภาพคล่อง

จากทั้งปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท


คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้ม ชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนีให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงิน และนโยบายอื่นของภาครัฐ


นอกจากประเทศไทยจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง ในระดับโลกก็ไม่แพ้กันเพราะ การประชุมเฟด(FOMC) ในปี 2568 นี้ได้มีการคงนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยถึง 5 ครั้ง มาจนถึงในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เฟดตัดสินใจปรับดอกเบี้ยลดลง 3 ครั้ง TNN Wealth จะพาไปไล่ดูเส้นทางการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ตลอดทั้งปี ว่ามีการคงดอกเบี้ย และปรับลด กี่ครั้ง เกิดขึ้นเมื่อใด และมีปัจจัยใดเป็นแรงผลักดันสำคัญเบื้องหลังการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยเริ่มจาก


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 1 วันที่ 28–29 ม.ค. 68 เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25% – 4.50% เพราะ เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่คาด แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงมาจากปีก่อนหน้าแล้ว แต่ในช่วงต้นปี 2568 ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ "สูงกว่าเป้าหมาย" ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง และรอดูผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 2 วันที่ 18–19 มี.ค.68 เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมคือ 4.25% – 4.50% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ การปรับประมาณการเศรษฐกิจ (Dot Plot) ท่าทีของประธานเฟด

แถลงข่าวเฟดยังไม่รีบร้อน และต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ว่าเงินเฟ้อจะลงไปถึง 2% จริงๆ การคงดอกเบี้ยในครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดเตรียมใจว่า ดอกเบี้ยอาจจะสูงนานกว่าที่คิด รวมถึงตลาดแรงงานเริ่มมีสัญญาณ ตึงตัวลดลง


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 3 วันที่ 6–7 พ.ค.68  เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมคือ 4.25% – 4.50% จากตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาจริงกลับ "สูงขึ้นเล็กน้อย" หรือไม่ลดลงตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้เฟดกังวลว่าหากรีบลดดอกเบี้ยตอนนี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดและทำให้เงินเฟ้อกลับมาคุมไม่อยู่ เเละการบริโภคในสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งเกินไป นอกจานี้ต้องรอความชัดเจนจากนโยบายกีดกันทางการค้าในช่วงกลางปี 2568 คาดว่าสงครามการค้า (Trade War) เริ่มมีความรุนแรงขึ้น


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 4 วันที่ 17–18 มิ.ย.68  เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมคือ 4.25% – 4.50%  เนื่องจากภาพคาดการณ์ดอกเบี้ย (Dot Plot) รอบใหม่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจน ปรากฏว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงมองว่า "ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่" ทำให้ค่ากลางของคาดการณ์ดอกเบี้ยในปี 2568 ถูกปรับลดลงน้อยกว่า ที่นักลงทุนคาดหวังไว้ ทำให้เฟดเลือกที่จะถือดอกเบี้ยไว้ก่อน ด้านตลาดแรงงานเริ่มคลายตัว แต่ยังไม่วิกฤตแม้ว่าจำนวนตำแหน่งงานว่างจะลดลงบ้าง 


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 5 วันที่ 29–30 ก.ค.68  เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมคือ 4.25% – 4.50% เหตุผลที่ครั้งที่ 5 ยังคงดอกเบี้ยอยู่ เพื่อรอสัญญาณ "ยืนยัน" จากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ตลาดแรงงานเริ่ม "ส่งสัญญาณเตือน" แต่ยังไม่ชัดพอในเดือนกรกฎาคม อัตราการว่างงานเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยและยอดการจ้างงานใหม่เริ่มต่ำกว่าคาด การส่งสัญญาณเพื่อลดในรอบถัดไป แทนที่จะลดทันทีในเดือนกรกฎาคม เฟดเลือกใช้การ "ส่งสัญญาณผ่านคำพูด" ในแถลงการณ์แทน โดยตัดประโยคที่ว่า "ยังกังวลเรื่องเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก" ออก และเปลี่ยนมาใช้คำว่า "มีความเสี่ยงทั้งสองด้านที่สมดุลมากขึ้นเพื่อเตรียมให้ตลาดรับรู้ว่าการลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นแน่นอนในการประชุมครั้งหน้า


เฟดเริ่มกดปุ่มลดดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลัง จากทนถือดอกเบี้ยสูงมาตลอด 5 ครั้งแรกของปี ในการประชุมครั้งที่ที่ 6 ในเดือนกันยายน 2568  เฟดก็เริ่มทยอยปรับลดเป็นครั้งแรก โดยทั้งปี 2568 เฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทั้งหมด 3 ครั้ง เริ่มจาก


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 6 วันที่ 16-17 ก.ย.68 เฟดลดอัตราดอกเบี้ยมาที่ระดับ 4.00% - 4.25% เพราะตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณ "อ่อนแอ" ชัดเจน ก่อนการประชุมในเดือนกันยายน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls) ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาดอย่างมาก และอัตราการว่างงานเริ่มขยับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อกำลังลงอย่างต่อเนื่อง เเละเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยตึงตัวจนบีบเศรษฐกิจแน่นเกินไป รวมถึงลดแรงกดดันจากนโยบายการค้าและภาษี (Tariffs)เฟดเริ่มเห็นผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 7 วันที่ 28-29 ต.ค.68 เฟดลดอัตราดอกเบี้ยมาที่ระดับ 3.75% - 4.00% ตลาดแรงงานยังคงส่งสัญญาณอ่อนแอ (Labor Cooling)แม้จะลดดอกเบี้ยไปแล้วในเดือนกันยายน ภาวะสุญญากาศของข้อมูล (Data Void)ในช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์ หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ (Government Shutdown) ทำให้ไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่างเป็นทางการ  เเละแรงกดดันจากนโยบายภาษี (Tariffs) เริ่มส่งผลกระทบต่อต้นทุนธุรกิจและสร้างความไม่แน่นอน กนง. สหรัฐฯ หรือเฟด จึงเลือกที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อเป็น "กันชน" ให้กับภาคธุรกิจที่ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น


การประชุมเฟด (FOMC) ครั้งที่ 8 วันที่  9-10 ธ.ค.68 เฟดลดอัตราดอกเบี้ยมาที่ระดับ 3.50% - 3.75% เพราะเฟดมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4% ยังถือว่า "ตึงตัว" เกินไปเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่ลดลงมาใกล้เป้าหมายแล้ว การลดครั้งนี้จึงเป็นการปรับเพื่อให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ "เป็นกลาง" (Neutral Rate) ที่ไม่กดดันเศรษฐกิจจนเกินไป เเละป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีปีหน้าเนื่องจากต้นปี 2569 สหรัฐฯ มีแผนจะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า (Tariffs) ชุดใหม่ที่เข้มข้นขึ้น 


บทสรุปปี 2568 ถือเป็นปีประวัติศาสตร์ทางการเงินที่สำคัญ ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก เมื่อ "ยุคดอกเบี้ยสูง" ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ (FED)หลังจากที่สู้กับเงินเฟ้อมานาน เฟดได้เปลี่ยนบทบาทจากการเป็น "มือปราบเงินเฟ้อ" มาเป็น "ผู้ปกป้องเศรษฐกิจ" โดยการเลือกที่จะคงดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อความชัวร์ ก่อนจะตัดสินใจลดดอกเบี้ยรวดเดียว 3 ครั้งรวดในช่วงท้ายปี เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงและความไม่แน่นอนทางการค้า


ทางด้านประเทศไทย ความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่า โดยมีการลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปีเพื่อพยุงเศรษฐกิจภายในที่เปราะบาง และลดทิ้งท้ายปีอีกครั้งเพื่อรับมือกับพายุเศรษฐกิจโลกที่จะตามมาในปี 2569 


การที่ดอกเบี้ยทั้งไทยและสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี 2568 นี้ ส่งผลดีโดยตรงต่อคนมีหนี้ที่จะเห็นภาระดอกเบี้ยลดลง แต่อาจเป็นความท้าทายของผู้ที่พึ่งพาเงินฝาก รวมถึงเป็นสัญญาณเตือนว่าปีหน้าเราอาจต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง (Slow Growth) และต้องวางแผนการเงินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง