รีเซต

DELTAอีวี-ไอทีขยายตัว ชิปขาด-ล็อกดาวน์กดดัน

DELTAอีวี-ไอทีขยายตัว ชิปขาด-ล็อกดาวน์กดดัน
ทันหุ้น
6 พฤษภาคม 2565 ( 05:41 )
70
DELTAอีวี-ไอทีขยายตัว ชิปขาด-ล็อกดาวน์กดดัน

#DELTA #ทันหุ้น - DELTA ชอบใจมาตรการอีวี ดันดีมานด์ชิ้นส่วนเพิ่ม ชี้เห็นสัญญาณขยายตัว เช่นเดียวกับกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ และกลุ่มจัดการความร้อน ขณะที่ผลงานไตรมาส 2/2565 ยังมองยากประสบปัญหาชิปขาดแคลน-จีนล็อกดาวน์-หยุดสงกรานต์ แต่มั่นใจบริหารจัดการซัพพลายเชนได้ดี

 

นายแจ๊คกี้ ชาง ประธานบริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยว่า  มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ อีวี ทั้งการลดภาษีการนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิต รวมถึงการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นเงินอุดหนุน เพื่อกระตุ้นตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมาของภาครัฐ ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้มีดีมานด์ชิ้นส่วนประกอบของกลุ่มดังกล่าวมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และทำให้กลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) มีการขยายตัวที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

 

@สัญญาณขยายตัว

 

นายแจ๊คกี้ ชาง กล่าวด้วยว่า บริษัทยังเห็นสัญญาณการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cloud Storage รวมถึงกลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน (Fan & Thermal Managements) ด้วยเช่นเดียวกัน

 

มองว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนผลการดำเนินงานสำคัญในปี 2565นี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 5-10% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 84,814.62 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,699.01 ล้านบาท

 

สำหรับในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 25,068.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตสูงถึง 29.3% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,780.13ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% จากไตรมาสก่อน และเติบโตสูงถึงกว่า 58.3%เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน

 

อย่างไรก็ดียอมรับว่า ช่วงเดือนเมษายนบริษัทได้รับแรงกดดันจากช่วยวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การส่งมอบงานไม่ได้มากเท่าที่ควร แต่บริษัทจะรักษาความสามารถในการเติบโตให้ได้ตามแผนที่วางไว้ 5-10%

 

@ยังห่วงชิปขาดแคลน

 

ต่อมุมมองสถานการณ์ขาดแคลนชิปนั้น ยังคงเป็นปัจจัยกระทบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ไม่เพียงแค่บริษัทที่ได้รับผลกระทบแต่กลุ่มลูกค้าของบริษัทก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้ตอบได้ยากว่าจะสิ้นสุดหรือผ่อนคลายลงได้เมื่อไหร่ เพราะยังมีปัจจัยเรื่องของการขนส่งที่ติดขัดและล่าช้า รวมถึงการล็อกดาวน์อีกครั้งของประเทศจีน

 

อย่างไรก็ดี บริษัทคาดหวังว่าภายในช่วงปลายปีนี้ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนจะผ่อนคลายได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าในมือจำนวนมาก และยังมีการบริหารจัดการวัตถุดิบและห่วงโซ่อุปทานที่ดีและเพียงพอ

 

"ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/2565คงเร็วไปถ้าจะสรุป เพราะยังคงมีหลายปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจควบคุมได้เค้ามากดดัน ไม่ว่าจะทั้งเรื่องของโลจิสติกส์ที่ติดขัด จีนล็อกดาวน์ประเทศ ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยยอดขายในช่วงเดือนเมษายน ได้รับแรงกระทบจากวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ แต่เรายังคงมีความมั่นใจว่าด้วยคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในมือและการบริหารซัพพลายเชนที่ดี จะทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2565 นี้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าแบบอนุรักษนิยมจากปีก่อน 5-10%" นายแจ๊คกี้ ชาง กล่าว

 

@ลงทุนเสริมแกร่ง

 

ด้านแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ สำหรับรองรับการปรับปรุงประสิทธิภาพทางการผลิต และระบบ Smart Manufacturing ที่เชื่อมต่อด้านดิจิทัลได้ทั้งระบบ ช่วยในเรื่องของการตัดสินใจที่รวดเร็วและทันท่วงที รวมไปถึงทำให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งโรงงานในประเทศอินโดนีเซียและสโลวาเกีย ขณะที่การสร้างโรงงานแห่งใหม่นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดการที่วางไว้ในปี 2566 ในส่วนนี้วางงบไว้ 2,600 ล้านบาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง