โลกที่ภาพไม่ใช่ความจริง AI กำลังเปลี่ยนความไว้ใจในสังคมอย่างไร

ก่อนอื่น ผู้เขียนต้องขอออกตัวว่าไม่ได้มีความรู้เชิงลึกด้านปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้เชี่ยวชาญการเขียนโค้ดหรือการสร้างโมเดลใด ๆ หากแต่ในฐานะนักข่าวอาวุโสที่เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของสังคมมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกดิจิทัลทุกวันนี้น่าตั้งคำถามไม่น้อย ภาพถ่ายที่เคยเป็นหลักฐานของความจริง กำลังกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งข้อสงสัยมากขึ้นทุกที ความจริงและการสร้างสรรค์ถูกผสานจนแทบไม่เหลือเส้นแบ่งชัดเจน
กระแสการสร้างภาพ AI ที่เพิ่งแพร่ หลายอาจดูเป็นเพียงความสนุกสนาน เมื่อผู้คนส่งใบหน้าของตนไปจับคู่กับศิลปินหรือคนดัง แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันกำลังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยี ความจริง และความไว้วางใจของผู้คน ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมไม่อาจมองข้าม
คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า เราพร้อมหรือยังที่จะอยู่ในโลกที่ไม่อาจเชื่อสายตาของตัวเองได้เต็มร้อยอีกต่อไป เมื่อภาพและวิดีโอบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอาจไม่ใช่ความจริง หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง การตลาด หรือการบิดเบือนข้อมูล ความท้าทายนี้ไม่เพียงกระทบต่อการรับรู้ส่วนบุคคล แต่ยังสั่นคลอนความไว้วางใจร่วมกันในระดับสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ และเพื่อชวนให้สังคมหยุดคิดมากกว่าการเสพความบันเทิงเพียงผิวเผิน ผู้เขียนได้ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยและรายงานต่าง ๆ จนกลายเป็นบทความชิ้นนี้ ที่ตั้งใจไม่เพียงเล่าถึงเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนให้เห็นผลกระทบทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราอย่างจริงจัง
เมื่อภาพไม่ใช่หลักฐาน 70% ของรูปบนโซเชียลกำลังถูกสร้างด้วย AI
ข้อมูลจาก Datareportal ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียกว่า 5.24 พันล้านบัญชีทั่วโลก หรือคิดเป็น 63.9% ของประชากรโลก (Datareportal) นั่นหมายความว่าภาพใดก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลมีโอกาสกระจายไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว ความหนาแน่นของผู้ใช้ในเครือข่ายยังทำให้ภาพและเนื้อหามีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคมากกว่าที่เคยเป็นมา
ท่ามกลางกระแสนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังกลายเป็นผู้เล่นหลักในการสร้างเนื้อหาดิจิทัล งานวิจัยหลายชิ้นคาดการณ์ว่า มากกว่า 70% ของภาพที่ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ในปี 2025 จะไม่ได้เกิดจากกล้องจริง แต่สร้างขึ้นด้วยอัลกอริทึมและโมเดลเรียนรู้ของ AI ข้อเท็จจริงนี้กำลังเปลี่ยนสมการความเชื่อมั่นของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เมื่อภาพถ่ายที่เคยเป็นหลักฐานของความจริง อาจกลายเป็นผลงานที่ถูกประกอบสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง การตลาด หรือแม้กระทั่งการบิดเบือนข้อมูลในวงกว้าง
0.1% ที่รอด 99.9% ที่เสี่ยง ขีดจำกัดการแยกจริง–ปลอมในยุค AI
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในยุคของภาพและวิดีโอที่สร้างด้วย AI คือความสามารถในการแยกแยะของผู้คนกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก ข้อมูลจากการศึกษาของ iProov พบว่า มีเพียง 0.1% ของผู้บริโภคเท่านั้น ที่สามารถระบุได้ถูกต้องทุกครั้งว่าอะไรจริงและอะไรปลอม แม้ว่าจะได้รับการบอกล่วงหน้าว่าจะมีเนื้อหาปลอมปะปนอยู่ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแทบทุกคนมีโอกาสถูกหลอกได้ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าพวกเขาจะมั่นใจในสายตาของตัวเองแค่ไหนก็ตาม
ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผลการทดลองยังพบว่า คลิปวิดีโอปลอมตรวจจับได้ยากกว่าภาพนิ่งถึงราว 36% วิดีโอที่ดูเหมือนจริงสามารถสร้างอารมณ์ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจได้มากกว่า จึงกลายเป็นช่องโหว่ที่อันตรายต่อผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีการฉ้อโกงผ่านวิดีโอคอล เช่น การสวมรอยเป็นเพื่อนหรือญาติขอความช่วยเหลือ การอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้แต่การปลอมตัวเป็นผู้บริหารเพื่อสั่งโอนเงิน ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงสูงและตรวจสอบยากในเวลาจริง
สิ่งเหล่านี้ทำให้คำถามใหญ่เกิดขึ้นทันทีว่า สังคมพร้อมหรือยังที่จะอยู่ในโลกที่ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้เต็มร้อยอีกต่อไป การสร้างมาตรการตรวจสอบ การเพิ่มความรู้เท่าทัน และการสร้างระบบป้องกันทางเทคโนโลยีจึงไม่ใช่เรื่องรอง แต่คือความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อปกป้องความปลอดภัยทั้งในระดับบุคคลและองค์กร
วิกฤต Deepfake โลก–ไทย เมื่อภาพปลอมกลายเป็นอาวุธทั้งเพศและการเงิน
ในระดับโลก การเติบโตของเนื้อหา AI เป็นไปอย่างก้าวกระโดด จาก 500,000 ไฟล์ในปี 2023 สภายุโรปคาดการณ์ว่าจะพุ่งถึง 8 ล้านไฟล์ภายในปี 2025 และที่น่ากังวลที่สุดคือ 98% ของเนื้อหา Deepfake เป็นเชิงทางเพศที่ไม่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ไม่ได้ยินยอม ขณะเดียวกันในด้านการเงิน มีข้อมูลว่ามากกว่า 80% ของการฉ้อโกงที่ตรวจพบในปี 2023 เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี
สถานการณ์ในไทยเองก็ไม่ต่างกัน มีหลายกรณีที่ภาพและวิดีโอของนักข่าวหรือบุคคลสาธารณะถูกนำไปใช้ในโฆษณาหลอกลวง Thai PBS Verify ตรวจพบคลิปปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อขายอาหารเสริมและเชิญชวนลงทุน ความเสียหายไม่ได้หยุดแค่ชื่อเสียงของบุคคลที่ถูกใช้ แต่ยังสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนที่เผลอเชื่อเนื้อหาเหล่านี้
PDPA กับโลกภาพปลอม เมื่อกฎหมายยังวิ่งตามไม่ทัน AI ?
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ของไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการพยายามปิดช่องว่างทางกฎหมายในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลสามารถถูกนำไปใช้สร้างภาพหรือวิดีโอปลอมได้ง่ายขึ้น กฎหมายนี้ระบุสิทธิของเจ้าของข้อมูลไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล หากถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม ขณะเดียวกัน กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ก็เป็นอีกกลไกที่กำหนดบทลงโทษต่อผู้ที่สร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลปลอมที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย โดยกำหนดโทษสูงสุดจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
อย่างไรก็ตาม กรอบกฎหมายเหล่านี้ยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาการบังคับใช้ เนื้อหาที่ถูกสร้างด้วย AI สามารถแพร่กระจายข้ามพรมแดนไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศได้ในเวลาอันรวดเร็ว การติดตามและเอาผิดผู้กระทำจึงทำได้ยาก อีกทั้งกฎหมายปัจจุบันยังไม่ได้แยกแยะอย่างละเอียดระหว่างการสร้างภาพปลอมเพื่อความบันเทิง กับการสร้างเพื่อตั้งใจหลอกลวงหรือทำลายชื่อเสียง จึงเกิดพื้นที่สีเทาที่อาจสร้างความเสียหายต่อบุคคลหรือองค์กรโดยไม่สามารถเอาผิดได้เต็มรูปแบบ
คำถามที่สังคมต้องขบคิดจึงไม่ใช่เพียงว่าเราจะเชื่อภาพหรือวิดีโอได้อีกต่อไปหรือไม่ แต่ยังรวมถึงว่า กฎหมายที่มีอยู่เพียงพอแล้วหรือยังต่อการรับมือกับภัยจากเนื้อหาปลอมที่สร้างด้วย AI หากไม่เพียงพอ จะต้องออกแบบกฎหมายใหม่ หรือปรับปรุงกลไกเดิมอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน การสร้างความรู้เท่าทันสื่อและการอบรมพลเมืองดิจิทัลก็เป็นอีกแนวทางที่ต้องทำควบคู่กัน เพื่อให้กฎหมายและสังคมเดินหน้าไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งให้ผู้ใช้ตกอยู่ในความเสี่ยงโดยลำพัง
อีกด้านหนึ่ง แพลตฟอร์มเทคโนโลยีจำเป็นต้องรับผิดชอบมากขึ้น การติดฉลากเพื่อระบุว่าเนื้อหาใดสร้างด้วย AI และการใช้ระบบ Watermarking ที่ชัดเจนเป็นแนวทางที่หลายประเทศเริ่มผลักดัน ขณะเดียวกันองค์กรข่าวก็ต้องปรับกลยุทธ์การทำงาน โดยอธิบายขั้นตอนการตรวจสอบที่มาของข้อมูลให้โปร่งใสและตรวจสอบได้
ท้ายที่สุด โลกที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ไม่ได้วัดกันด้วยสายตาอย่างเดียวอีกต่อไป การสร้างความไว้ใจแบบใหม่ต้องอาศัยทั้งกฎหมายที่ทันสมัย แพลตฟอร์มที่โปร่งใส และสังคมที่มีทักษะคิดเชิงวิพากษ์ หากสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน ความจริงที่เคยชัดเจนอาจถูกกลืนหายไปในทะเลของภาพและเสียงที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัลกอริทึม คำถามคือเราจะสร้างสมดุลอย่างไรระหว่างความสนุกจากเทคโนโลยีใหม่กับความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องการหลักฐานที่เชื่อถือได้มากกว่าที่เคย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
