JMARTปี66ขาดทุน 447ล้าน-ตั้งเป้าผลดำเนินงานปีนี้เติบโต

#๋JMART#ทันหุ้น-JMART ปี 66 ขาดทุน 447ล้าน จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร 1.79 พันล้าน เหตุ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม-ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงฯ 843 ล้านบาท ส่วนปี 2567 ตั้งเป้าดันผลดำเนินงานเติบโต เหตุ SINGERสำรองลด-JMT โต หลังปี66ซื้อหนี้นิวไฮ
นางสาวลัดดา วรุณธารากุล เลขานุการ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ JMART เปิดเผยว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานปี 2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 447.01 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,794.96 ล้านบาท
โดยสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่น 843 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่น บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเท่ากับ 396 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวม2566 อยู่ที่ 13,743.5 ล้านบาทลดลงจากปีก่อนหน้า 176.5 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ1.3 โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้
1. รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า เท่ากับ 8,872.1 ล้านบาท ลดลงในอัตราร้อยละ 7.2 จากปีก่อนหน้า ยอดขายในส่วนของการขายของซิงเกอร์ที่ลดลง เนื่องจากการปรับกระบวนการปล่อยสินเชื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้น
2. รายได้ดอกเบี้ยจากเงินซื้อลูกหนี้ และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้ ในปี 2566 รวมเท่ากับ 4,186.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น395.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10.4 ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น
3. รายได้ค่าเช่า เท่ากับ 368.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 27 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการบริการจากโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงอัตราค่าเช่าพื้นที่ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการดำเนินนโยบายที่ปรับราคาไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
4. รายได้จากการรับประกันภัย เท่ากับ 316.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 38.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.8ซึ่งเป็นผลจากการขยายช่องทางในการทำประกันภัย
สำหรับแนวโน้มปี 2567 นั้นบริษัทมุ่งมั่นที่จะผลักดันผลประกอบการให้ดีขึ้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาธุรกิจในส่วนของบริษัทร่วม ซิงเกอร์ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ที่ทำให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ทั้งนี้ในปี 2566 ที่ผ่านมาในส่วนธุรกิจดังกล่าวได้มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน และสร้างการรัดกุมให้กับกระบวนการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และได้มีการตั้งสำรองไว้เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงจากธุรกิจการปล่อยสินเชื่อไว้เพียงพอแล้ว
สำหรับในส่วนของธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท เช่น ธุรกิจบริหารและติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การบริหารของบริษัท JMT ในปี 2567 นี้ บริษัทมีมุมมองในด้านการเติบโตที่จะไม่น้อยไปกว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจาก ในปี 2566 ที่ผ่านมา JMT ได้มีการเข้าซื้อประมูลหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหนี้ด้อยคุณภาพดังกล่าวเป็นหนี้แบบไม่มีหลักประกัน ซึ่ง JMTจะติดตามกระแสเงินสดรับในปีนี้อย่างเต็มปี
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่1/2567 ประชุมเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติงดการจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท สำหรับผลประกอบการประจำปี 2566