การเลือกประกันภัยมอเตอร์ไซค์ เลือกแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด

11 กรกฎาคม 2568 ( 00:33 )
26
การเลือกประกันภัยมอเตอร์ไซค์ให้คุ้มค่าที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งพฤติกรรมการขับขี่ ประเภทรถ งบประมาณ และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ครับ สิ่งแรกที่คุณต้องรู้คือประกันมอเตอร์ไซค์แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ ภาคสมัครใจ
1. ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์)
- คืออะไร: เป็นประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือคู่กรณี
- ความคุ้มครอง (หลักๆ):
- ค่ารักษาพยาบาล: จ่ายตามจริง สูงสุด 80,000 บาท/คน (สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด) หรือ 30,000 บาท/คน (สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่รอพิสูจน์ถูกผิด)
- ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร: สูงสุด 500,000 บาท/คน (สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด) หรือ 35,000 บาท/คน (กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพโดยไม่รอพิสูจน์ถูกผิด)
- ข้อจำกัด: พ.ร.บ. ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ ของผู้เอาประกันภัย (รถของเรา) หรือทรัพย์สินของคู่กรณี ดังนั้น หากรถเราเสียหาย ต้องจ่ายค่าซ่อมเองทั้งหมด
2. ประกันภัยภาคสมัครใจ (ประกันมอเตอร์ไซค์ชั้นต่างๆ)
เป็นประกันที่เราเลือกทำเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ. เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มีหลายชั้นให้เลือก โดยแต่ละชั้นมีความคุ้มครองและเบี้ยประกันแตกต่างกันไป
ประเภทของประกันภัยภาคสมัครใจ (จากคุ้มครองน้อยไปมาก):
- ประกันชั้น 3:
- คุ้มครองหลัก: ซ่อมรถคู่กรณี และบาดเจ็บ/เสียชีวิตของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรอง: บาดเจ็บ/เสียชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถเรา (บางบริษัทอาจมี)
- จุดเด่น: ราคาถูกที่สุด
- ข้อจำกัด: ไม่คุ้มครองความเสียหายของรถเรา ทุกกรณี (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด)
- เหมาะกับ: ผู้ที่ใช้รถน้อยมาก, มีความมั่นใจในการขับขี่สูง, รถมีมูลค่าไม่สูงนัก หรือพร้อมจ่ายค่าซ่อมรถตัวเองได้
- ประกันชั้น 3+:
- คุ้มครองหลัก: ซ่อมรถคู่กรณี, บาดเจ็บ/เสียชีวิตของบุคคลภายนอก และซ่อมรถเรา (กรณีรถชนกับยานพาหนะทางบก และระบุคู่กรณีได้)
- จุดเด่น: ได้รับความคุ้มครองรถเราจากการชนแบบมีคู่กรณีในราคาที่ไม่แพงเกินไป
- ข้อจำกัด: ไม่คุ้มครองรถหาย ไฟไหม้ รถล้มเอง (ไม่มีคู่กรณี) หรือชนเสาไฟฟ้า/สิ่งของที่ไม่มีชีวิต
- เหมาะกับ: ผู้ที่ใช้รถค่อนข้างบ่อย, ต้องการความคุ้มครองรถเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่น แต่ไม่กังวลเรื่องรถหายหรือรถล้มเอง
- ประกันชั้น 2+:
- คุ้มครองหลัก: เหมือนประกัน 3+ ทุกอย่าง (ซ่อมรถเราเมื่อชนกับยานพาหนะทางบก และระบุคู่กรณีได้ ซ่อมรถคู่กรณี, บาดเจ็บ/เสียชีวิตของบุคคลภายนอก)
- คุ้มครองเพิ่มเติม: คุ้มครองกรณีรถหาย และรถไฟไหม้
- จุดเด่น: คุ้มครองครอบคลุมมากขึ้นในราคาที่ยังเข้าถึงได้
- ข้อจำกัด: ไม่คุ้มครองรถล้มเอง (ไม่มีคู่กรณี) หรือชนเสาไฟฟ้า/สิ่งของที่ไม่มีชีวิต
- เหมาะกับ: ผู้ที่ใช้รถบ่อย, กังวลเรื่องรถหายหรือไฟไหม้ด้วย (โดยเฉพาะ Bigbike หรือรถที่จอดในที่เสี่ยง)
- ประกันชั้น 1:
- คุ้มครองหลัก: คุ้มครองครบวงจรที่สุด! ซ่อมรถเรา (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิด, ถูก, หรือไม่มีคู่กรณี เช่น รถล้มเอง, ชนสิ่งของ/เสาไฟฟ้า), ซ่อมรถคู่กรณี, รถหาย, ไฟไหม้, น้ำท่วม, บาดเจ็บ/เสียชีวิตของบุคคลภายนอก, ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- จุดเด่น: อุ่นใจสูงสุด ไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- ข้อจำกัด: เบี้ยประกันสูงที่สุด
- เหมาะกับ:
- รถใหม่ป้ายแดง หรือรถที่มีมูลค่าสูง (Bigbike, รถสปอร์ต)
- ผู้ขับขี่มือใหม่ หรือยังไม่ชำนาญ
- ผู้ที่ใช้รถเป็นประจำทุกวัน เดินทางไกล หรือต้องจอดรถในที่สาธารณะบ่อยๆ
- ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุดและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่างหากเกิดอุบัติเหตุ
ปัจจัยในการเลือกประกันให้คุ้มค่าที่สุด:
- พฤติกรรมการขับขี่:
- ขับน้อย/ระมัดระวังสูง: ชั้น 3 หรือ 3+ อาจเพียงพอ
- ขับบ่อย/มือใหม่/ประมาทบ้าง: ชั้น 2+ หรือ ชั้น 1 จะคุ้มค่ากว่ามาก
- จอดในที่เสี่ยง/Bigbike: ชั้น 2+ หรือ ชั้น 1 ที่คุ้มครองรถหาย/ไฟไหม้จะจำเป็น
- ประเภทและมูลค่าของรถ:
- รถเล็ก/รถครอบครัว (ไม่เกิน 150cc): ชั้น 2+/3+ ก็เพียงพอแล้ว เบี้ยประกันไม่แพงมาก
- Bigbike (มากกว่า 250-300cc ขึ้นไป) / รถใหม่ป้ายแดง: แนะนำ ประกันชั้น 1 เนื่องจากมูลค่ารถสูง หากเกิดความเสียหายจะเสียค่าซ่อมแพงมาก และอะไหล่หายาก/แพง
- งบประมาณสำหรับเบี้ยประกัน:
- กำหนดงบประมาณที่คุณพร้อมจ่ายต่อปี และเลือกประเภทประกันที่ตอบโจทย์ความคุ้มครองในงบนั้น
- ความคุ้มครองส่วนบุคคล:
- บางแพ็กเกจประกันภัยภาคสมัครใจ (โดยเฉพาะชั้น 2+, 1) อาจมีวงเงินคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล (ค่ารักษาพยาบาล, เสียชีวิต, ทุพพลภาพ) สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถเรา ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก
- ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible/Excess):
- บางประกันชั้น 1 หรือ 2+/3+ อาจมี "ค่าเสียหายส่วนแรก" ซึ่งคือจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายเองในครั้งแรกเมื่อเคลมประกันในบางกรณี (เช่น เป็นฝ่ายผิด) การมีค่าเสียหายส่วนแรกจะช่วยให้เบี้ยประกันถูกลง แต่คุณต้องพร้อมจ่ายจำนวนนั้นเมื่อเกิดเหตุ
- บริการเสริมของบริษัทประกัน:
- พิจารณาบริการหลังการขาย เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน, อู่ซ่อมในเครือ, ความสะดวกในการเคลม
สรุปการเลือกให้ "คุ้มค่าที่สุด":
- สำหรับรถเล็ก / รถครอบครัว (< 150cc) ที่ใช้ในเมือง ไม่ได้ขับเร็วมาก: ประกันชั้น 3+ ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในแง่ของราคาที่ได้ความคุ้มครองรถตัวเองเมื่อชนกับรถคันอื่น
- สำหรับ Bigbike / รถมีมูลค่าสูง / รถใหม่ / มือใหม่ขับขี่: ประกันชั้น 1 คือตัวเลือกที่ "คุ้มค่าที่สุด" แม้เบี้ยจะแพงที่สุด เพราะคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงทุกรูปแบบ และเมื่อเกิดเหตุ มูลค่าความเสียหายมักสูงมากจนประกันชั้นอื่นไม่ครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม ควรลองเปรียบเทียบเบี้ยประกันและความคุ้มครองจากหลายๆ บริษัทประกันภัย โดยอาจใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบประกัน หรือสอบถามจากโบรกเกอร์ เพื่อให้ได้แพ็กเกจที่เหมาะสมกับรถและพฤติกรรมการขับขี่ของคุณมากที่สุดครับ
Photo Credit : AI Generated