รีเซต

“โลกร้อน” ทำให้บ้านไร้มูลค่า และระบบการเงินสั่นคลอน

“โลกร้อน” ทำให้บ้านไร้มูลค่า และระบบการเงินสั่นคลอน
TNN ช่อง16
31 ตุลาคม 2568 ( 11:00 )
42

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความถี่ของน้ำท่วมทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยในเขตร้อนเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า และในเขตอบอุ่นเพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่า ในสหราชอาณาจักรเอง ประชาชนอย่างน้อยหนึ่งในหกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูง เหตุการณ์ฝนตกหนักเกิดบ่อยขึ้น และความเสียหายประจำปีจากน้ำท่วมอาจพุ่งขึ้นกว่า 27% ภายในปี 2050 สมาคมผู้รับประกันภัยแห่งอังกฤษรายงานว่าในปี 2024 ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายที่เกิดจากสภาพอากาศรุนแรงทะลุระดับประวัติการณ์กว่า 585 ล้านปอนด์ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภาวะโลกร้อนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

 

ภายใต้แรงกดดันจากภัยธรรมชาติ บริษัทประกันภัยเริ่มไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ตามแบบแผนเดิม เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่บางพื้นที่ไม่สามารถซื้อประกันได้เลย เมื่อประชาชนไม่มีประกัน บ้านเรือนก็สูญเสียมูลค่า ธนาคารลังเลที่จะให้สินเชื่อใหม่ และความเสี่ยงต่อการเกิด “วิกฤติการเงิน” เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้จัดตั้งโครงการ “Flood Re” ขึ้นในปี 2016 เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและบริษัทประกัน เพื่อช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมยังสามารถเข้าถึงประกันได้ในราคาที่รับได้ โครงการนี้ถูกออกแบบให้เป็นเพียงสะพานเชื่อมชั่วคราว จนกว่าจะมีระบบป้องกันน้ำท่วมและการวางผังเมืองที่ดีขึ้น แต่หลายปีผ่านไป ความคืบหน้ากลับช้าเกินคาด

รายงานของคณะกรรมาธิการบัญชีสาธารณะของสภาสามัญในเดือนมกราคม 2024 ระบุว่า โครงการป้องกันน้ำท่วมมูลค่า 5.2 พันล้านปอนด์ของรัฐบาลล่าช้ากว่ากำหนดถึง 40% และจะสามารถปกป้องบ้านได้เพียง 200,000 หลังจากเป้าหมายเดิม 336,000 หลัง ภายในปีเดียวกัน ต้นทุนประกันภัยต่อเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านปอนด์ และจำนวนผู้ใช้โครงการ Flood Re เพิ่มขึ้นถึง 20% ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าบริษัทประกันเอกชนเริ่มถอยห่างจากตลาดที่มีความเสี่ยงสูง


ในเดือนกรกฎาคม 2025 Perry Thomas ซีอีโอของ Flood Re ออกมาเตือนว่า “สหราชอาณาจักรมีความสามารถในการรับมือกับน้ำท่วมลดลงตั้งแต่เปิดโครงการ” เขาย้ำว่าธนาคาร ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรัฐบาลต่อเนื่องหลายชุดล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตน เมื่อประกันภัยกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่อาจเข้าถึง บ้านเรือนก็กลายเป็นทรัพย์สินที่ไร้มูลค่าและไม่สามารถใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ หากรัฐบาลยังล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายการปรับตัวต่อสภาพอากาศ บ้านเรือนมากถึง 3 ล้านหลังอาจ “หมดมูลค่า” ภายใน 30 ปีข้างหน้า

ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะเจ้าของบ้าน แต่ลามไปถึงระบบธนาคารและเศรษฐกิจโดยรวม เพราะบ้านที่ไม่สามารถทำประกันหรือขอสินเชื่อได้จะกลายเป็น “สินทรัพย์ติดค้าง” (stranded assets) ที่มีมูลค่าลดลงและมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ หากธนาคารยังใช้โมเดลความเสี่ยงแบบเดิมโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากสภาพอากาศ ก็อาจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง และเมื่อสินเชื่อเหล่านี้ถูกนำไปแปรเป็นตราสารทางการเงิน เช่น หลักทรัพย์ค้ำประกันจำนอง (mortgage-backed securities) และขายต่อให้กับนักลงทุน อาจก่อให้เกิด “ลูกโซ่วิกฤติ” คล้ายกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ต่างกันเพียงครั้งนี้ สาเหตุไม่ใช่หนี้เสียจากความประมาททางการเงิน แต่เป็น “หนี้เสียจากภัยธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นจริง

แตกต่างจากวิกฤติการเงินทั่วไปที่มักมีวงจรขึ้นลงและฟื้นตัวได้ แต่ความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศกลับเป็นวิกฤติที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น เหตุการณ์สุดขั้วก็เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น หากไม่เร่งปรับตัว ความเสียหายจะสะสมจนยากต่อการแก้ไข


น้ำท่วมในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่มันคือ “ระเบิดเวลา” ทางการเงินที่อาจเขย่าระบบเศรษฐกิจทั้งระบบให้สั่นคลอน การสร้างแบบจำลองทางการเงินที่คำนึงถึงความเสี่ยงจากสภาพอากาศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ และการวางนโยบายที่บูรณาการระหว่างรัฐ ธนาคาร และภาคธุรกิจ จึงเป็นทางรอดเดียวที่จะรักษาทั้ง “บ้านของเรา” และ “ความมั่นคงของประเทศ” ให้รอดพ้นจากพายุเศรษฐกิจที่โลกร้อนกำลังก่อตัวอยู่เบื้องหน้า

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง