รีเซต

ปวดส้นเท้าเรื้อรัง สัญญาณเตือน จุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

ปวดส้นเท้าเรื้อรัง สัญญาณเตือน จุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ
TNN ช่อง16
19 กันยายน 2568 ( 17:17 )
8

“ปวดส้นเท้าด้านหลัง” อาจไม่ใช่เพียงอาการเมื่อยล้าธรรมดา แต่เป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า “จุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ” (Insertional Achilles Tendinopathy) ซึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก นักกีฬา หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปที่ใช้งานเท้าซ้ำ ๆ ทุกวัน หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดภาวะเรื้อรังหรือเอ็นฉีกขาดได้

พ.ต.ท.นพ. ชัยวัฒน์ ศรีรัตนวุฑฒิ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อชำนาญการด้านเท้าและข้อเท้า โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า จุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ หรือ Achilles Tendinitis คือภาวะการอักเสบของเอ็นร้อยหวายบริเวณที่เกาะเข้ากับกระดูกส้นเท้า (Insertional Achilles Tendinopathy) ซึ่งมักเกิดจากการใช้งานซ้ำ ๆ การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือการบาดเจ็บสะสม โรคนี้พบได้บ่อยในนักกีฬา คนที่ออกกำลังกายหนัก รวมถึงคนทั่วไปที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น รองเท้าที่ไม่เหมาะสม หรือโครงสร้างเท้าผิดปกติ

จุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบคืออะไร?

เอ็นร้อยหวาย (Achilles tendon) เป็นเอ็นที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อน่องกับกระดูกส้นเท้า เมื่อเกิดการอักเสบที่ตำแหน่งจุดเกาะ จะทำให้มีอาการเจ็บปวด บวม แดง หรือกดเจ็บที่ด้านหลังส้นเท้า โดยเฉพาะเวลายืน เดิน หรือวิ่ง

อาการของจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

ปวดบริเวณด้านหลังส้นเท้า โดยเฉพาะตอนเช้า หรือหลังออกกำลังกาย

มีอาการบวมและกดเจ็บที่ส้นเท้า

บางรายอาจมี กระดูกงอก (Heel Spur) ร่วมด้วย

อาการปวดรุนแรงขึ้นเมื่อต้องวิ่ง กระโดด หรือใส่รองเท้าที่กดทับส้น

สาเหตุของจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

การใช้งานซ้ำ ๆ เช่น วิ่งระยะไกล กระโดด หรือเล่นกีฬาที่ใช้แรงกระแทก

ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น พื้นแข็ง หรือไม่มีการรองรับอุ้งเท้า

ความผิดปกติของเท้า เช่น เท้าแบน (Flat foot) หรือ เอ็นร้อยหวายตึง

อายุที่มากขึ้น ทำให้เอ็นสูญเสียความยืดหยุ่น

น้ำหนักตัวมาก เพิ่มแรงกดที่ส้นเท้า

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และอาจใช้ อัลตราซาวนด์ หรือ MRI เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล 

แนวทางการรักษาจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

การรักษาภาวะนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย โดยหลัก ๆ แบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และ การผ่าตัด

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

เป็นแนวทางแรกที่แพทย์มักใช้ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ประกอบด้วย

พักการใช้งานและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นอาการเจ็บ เช่น การวิ่งระยะไกลหรือการกระโดด เพื่อให้เอ็นร้อยหวายมีเวลาฟื้นตัว

การประคบเย็น เพื่อลดอาการอักเสบและบวม โดยเฉพาะในช่วงที่อาการกำเริบ

การใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen หรือ Naproxen เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ

กายภาพบำบัด เช่น การยืดกล้ามเนื้อน่อง (Calf Stretch) การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเท้า

อุปกรณ์เสริม (Insole หรือ Heel Pad) ใช้รองส้นเท้าเพื่อลดแรงกดในบริเวณจุดเกาะของเอ็น

Shockwave Therapy หรือการใช้คลื่นกระแทกพลังงานสูงไปยังตำแหน่งที่อักเสบ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการซ่อมแซมของเอ็น ถือเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน

2. การรักษาด้วยการผ่าตัด

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเรื้อรังต่อเนื่อง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัดภายในระยะเวลา 6–12 เดือน แพทย์อาจพิจารณา การผ่าตัด ซึ่งมีหลายวิธี เช่น

การผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อเอ็นที่เสียหายออก (Debridement) เพื่อลดการอักเสบและกระตุ้นให้เอ็นสร้างเนื้อเยื่อใหม่

การผ่าตัดเอากระดูกงอกออก หากพบว่ามีการเสียดสีหรือกดทับที่จุดเกาะเอ็น

การซ่อมแซมและเย็บเอ็นร้อยหวาย กรณีที่มีการฉีกขาดร่วมด้วย

การผ่าตัดมักตามมาด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการเดิน วิ่ง และการใช้งานเท้าให้กลับมาใกล้เคียงปกติที่สุด

การป้องกันจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

อุ่นร่างกายและยืดเหยียดก่อนออกกำลังกาย

เลือกรองเท้าที่พอดีและรองรับแรงกระแทกได้ดี

ค่อย ๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังกาย ไม่ควรหักโหม

ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดแรงกดบนส้นเท้า

หมั่นยืดเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อน่องเป็นประจำ 

แม้ภาวะนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยเรื้อรังอาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้เดิน วิ่ง หรือทำกิจกรรมประจำวันลำบากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดส้นเท้าเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง