หุ้นสหรัฐฯไซด์เวย์รอข้อมูลตลาดแรงงาน หุ้น AMZN -4% ช่วง After Hours

#หุ้นสหรัฐ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดผสมผสาน (S&P500 +0.36%, Dow Jones -0.28% และ Nasdaq +0.51%) โดยตลาดแกว่งตัวในกรอบจับตารอข้อมูลตลาดแรงงาน เดือน ม.ค. ที่ประกาศในวันนี้ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 ได้รับแรงหนุนจากกลุ่ม Consumer Staples (+0.88%) Financial (+0.84%) และInformation Technology (+0.66%)
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลข Initial Jobless Claims สัปดาห์สิ้นสุดที่ 1 ก.พ. ปรับตัว เพิ่มขึ้น 1.1 หมื่นราย จากสัปดาห์ก่อนหน้า (2.08 แสนราย) เป็น 2.19 แสนราย เป็นการปรับตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 2.13 แสนคน ในขณะที่ตัวเลขผลิตภาพแรงงาน (Productivity) ในไตรมาส 4/2024 ขยายตัว 1.2% YoY ชะลอลงจาก 2.3% ในไตรมาสก่อน ขณะที่ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย (Unit Labor Cost) ในปี 2024 +2.6% YoY เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ +2.2% ในปีก่อน
Amazon (AMZN US) -4.04% ในช่วง After Hours จากแนวโน้มรายได้และกำไร 1Q25 ต่ำกว่าคาด แม้ประกาศลงทุน $1 แสนล้านใน AWS ปี 2025 สูงกว่าคาด ($8.69 หมื่นล้าน) แต่ยังเผชิญ ข้อจำกัดด้านซัพพลายเชนและพลังงาน ส่งผลให้การขยายศูนย์ข้อมูลล่าช้า รายได้รวม 4Q24 โต 10% YoY แตะ $1.88 แสนล้าน (สูงกว่าคาด 0.25%) กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 60.52% YoY แตะ $2.12 หมื่นล้าน (สูงกว่าคาด 12.56%) AWS โต 19% YoY แตะ $2.88 หมื่นล้าน ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย
ส่วนแนวโน้มกำไร 1Q25 ที่ $1.4-$1.8 หมื่นล้าน ต่ำกว่าคาด ($1.82 หมื่นล้าน) ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มองการปรับตัวลงของราคาหุ้นเป็นเพียงแรงกดดันระยะสั้น ที่มาจากผลกระทบของค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่า จำนวนวันทำการเปรียบเทียบที่น้อยกว่า และข้อจำกัดด้านการขยายศูนย์ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง การเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่าย ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาแนวโน้มนี้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมองเห็นถึงโอกาสสำหรับการเติบโตในระยะยาว จากแผนการลงทุนที่บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำทั้งในธุรกิจคลาวด์และ AI ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในอนาคต โดยปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายอยู่ที่ระดับ Forward P/E 32.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ -0.98SD
ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องระวัง 1) กฎระเบียบที่เข้มงวด 2) เม็ดเงินลงทุนที่สูงที่อาจกดดันกำไรในระยะสั้น 3) การแข่งขันที่สูงในธุรกิจคลาวด์และอี คอมเมิร์ซ และ 4) เศรษฐกิจที่ชะลอตัว
Eli Lilly (LLY US) เผยยอดขายยาเรือธงต่ำกว่าคาด แม้รายได้รวม 4Q24 โต 44.68% YoY แตะ $1.35 หมื่นล้าน (สูงกว่าคาด 0.59%) และ EPS อยู่ที่ $5.32 (สูงกว่าคาด 5.20%) รายได้จาก Mounjaro และ Zepbound ต่ำกว่าคาดกว่า 5%จากปัญหาโลจิสติกส์และข้อจำกัดผู้ค้าส่ง
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดกำไรปี 2025 สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ พร้อมแผนขยายตลาดไป จีน อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก เพื่อตอบรับความต้องการยารักษาเบาหวานและลดน้ำหนัก ขณะที่การแข่งขันกับ Novo Nordisk ยังคงรุนแรง โดยตลาดยาลดน้ำหนักคาดจะโตถึง $1.50 แสนล้าน ในต้นทศวรรษ 2030 แม้ Eli Lilly จะเผชิญข้อจำกัดซัพพลายเชนในระยะสั้น แต่การขยายตลาดใหม่เป็นกลยุทธ์สำคัญต่อการเติบโตระยะยาว
-ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มองแม้ระยะสั้นราคาหุ้นจะถูกกดดันจากยอดขายของยาเรือธงที่ออกมาน้อยกว่าคาด แต่เรายังมีมุมที่ดีในระยะยาวต่อ Eli Lilly ที่ยังคงเป็นผู้นำในตลาดยากลุ่มโรคเมตาบอลิซึมโดยเฉพาะยารักษาโรคเบาหวานและยาลดน้ำหนักกลุ่ม GLP-1 ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่โดดเด่น
ปัจจัยเชิงบวกที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในปี 2025 และในอนาคต ได้แก่ 1) การขยายตลาดสู่ประเทศใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก ที่คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้ารายใหม่จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ
2) การเติบโตของตลาดยากลุ่มGLP-1 ที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีมูลค่าสูงถึง $1.50แสนล้านภายในช่วงต้นทศวรรษ 2030 รวมถึงคาดว่ายอดขายในปี 2025 ของ Eli Lilly จะปรับตัวสูงขึ้นจากการได้รับการอนุมัติการใช้ยาสำหรับการรักษาโรคอ้วนและภาวะอื่น ๆ เช่น Obstructive Sleep Apnea
3) นอกจากยากลุ่ม GLP-1แล้ว บริษัทกำลังพัฒนายาใหม่หลายตัวเพื่อต่อยอดการเติบโตในตลาดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ-หลอดเลือด เช่น ไบมาแอนติบอดีตัวรับ Activin ประเภทที่ 2 สำหรับการรักษาโรคอ้วน, รีทาทรูไทด์ ตัวยับยั้ง Triple Gซึ่งอยู่ในระยะทดลองเฟส 2 สำหรับการรักษาโรคไตเรื้อรัง (CKD) และโรคเบาหวานชนิดที่ 2, มาสดูไทด์ ตัวเร่งการทำงานของ GLP-1และ Glucagon receptor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนัก และ เอลอราลินไทด์ ยากลุ่ม Amylin agonist ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกที่มีศักยภาพในกลุ่มโรคอ้วน และ
4) การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในยุคของรัฐบาลใหม่อาจลดแรงกดดันต่อการลงทุนในกลุ่มบริษัทเภสัชกรรมขนาดใหญ่ นักลงทุนบางส่วนคาดหวังว่านโยบายเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (M&A) จะมีความผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจของบริษัทอย่าง Eli Lilly
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ต้องระวังได้แก่ 1) ปัญหาซัพพลายเชน 2) การแข่งขันในตลาดยาลดน้ำหนักและเบาหวาน 3) ผลกระทบจากกฎระเบียบ และ 4) ความล้มเหลวในการพัฒนานวัตกรรม
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.50% ตามที่ตลาดคาด ด้วยมติ 7-2 โดยกรรมการ 2 รายสนับสนุนให้ลดถึง 0.50% ขณะที่ผู้ว่าการฯ แอนดรูว์ เบลีย์ ส่งสัญญาณเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มลดลง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้จะสูงสุดที่ 3.7% ก่อนลดลงสู่เป้าหมาย 2% ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นครั้งแรกของปี 2025หลังจาก BoE เริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีเมื่อปีที่แล้วท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว
ด้านยุโรป EU รายงานตัวเลข Retail Sales เดือน ธ.ค. -0.2% MoM พลิกกลับมาติดลบจาก +0.1% ในเดือน พ.ย. โดยยอดขายอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบลดลง 0.7% ขณะที่ยอดขายเชื้อเพลิงรถยนต์และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% และ 0.3%ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกยังขยายตัว 1.9% YoY ในเดือน ธ.ค. และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 1.6% โดยประเทศที่ยอดค้าปลีกลดลงมากที่สุด ได้แก่ สโลวีเนีย (-2.2%YoY) เยอรมนี (-1.6%) และโปแลนด์ (-1.5%)
-ติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้: สหรัฐฯ Nonfarm Payrolls เดือน ม.ค. (ตลาดคาด +1.75 แสนตำแหน่ง vs. เดือนก่อน +2.56 แสนตำแหน่ง) และ Unemployment Rate(ตลาดคาดเท่ากับเดือนก่อนที่ 4.1%) โดยหน่วยงาน US Bureau of Labor Statistics จะมีการเปิดเผยผลการปรับปรุงตัวเลข (Revision) สำรวจตลาดแรงงานประจำปีในครั้งนี้ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเลขย้อนหลังในอดีตด้วยเช่นกัน
- ในสัปดาห์หน้าติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ: สหรัฐฯ CPI เดือน ม.ค. (ตลาดคาดเท่ากับเดือนก่อนที่ 2.9% YoY), PPI เดือน ม.ค. (ตลาดคาด 3.2% YoY vs. เดือนก่อน 3.3%) ,Retail Sales เดือน ม.ค. (ตลาดคาด 0.0% MoM vs. เดือนก่อน 0.4%) และ Industrial Production เดือน ม.ค. (ตลาดคาด 0.3% MoM vs. เดือนก่อน 0.9%) ยุโรป GDP ไตรมาส 4เบื้องต้น (ไตรมาสก่อน 0.9% YoY) ญี่ปุ่น PPI เดือน ม.ค. (+3.8% YoY เดือนก่อน)