สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน เริ่มมีกลิ่นอายเหมือนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 จ่อปะทุ

ล่าสุด ผู้นำยูเครนเชิญผู้นำสหรัฐฯ ให้ไปเยือนกรุงเคียฟ เพื่อแสดงการสนับสนุนของสหรัฐฯ และหวังส่งสัญญาณที่ทรงพลังและช่วยให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ
ด้านรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ทหารอเมริกันที่ประจำการในยูเครนเมื่อปีที่แล้ว ถอนทัพและย้ายไปประจำการยังประเทศอื่นในยุโรปแทน เพื่อความปลอดภัย
---เชิญไบเดนเยือนกรุงเคียฟ---
ประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เชิญประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ไปเยือนกรุงเคียฟ เพื่อแสดงการสนับสนุนของสหรัฐฯ ท่ามกลางหวันเกรงว่ารัสเซียจะรุกรานยูเครน
สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า เซเลนสกีกล่าวระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับไบเดนเมื่อวันอาทิตย์ (13 กุมภาพันธ์) เชื่อว่าการมาเยือนยูเครนของผู้นำสหรัฐฯ จะเป็นสัญญาณที่ทรงพลังและช่วยให้สถานการณ์มีสเถียรภาพ
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า หลังจากพูดคุยกันนานกว่า 50 นาที สองผู้นำต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการดำเนินตาม “การทูตและการป้องปราม” เพื่อตอบสนองต่อการเสริมกำลังทางทหารของรัสเซียที่ชายแดนยูเครน
ประธานาธิบดีไบเดน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วน ต่อการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน
---ผ่าทางตันไม่สำเร็จ---
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีไบเดนพยายามลดระดับความตึงเครียดในภูมิภาคลงด้วยการ หารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียทางโทรศัพท์เช่นกัน
ไบเดนเตือนปูตินว่า จะต้องชดใช้อย่างรวดเร็วและแพง หากรัสเซียส่งทหารเข้าไปยูเครน หลังการพูดคุยนานกว่า 1 ชั่วโมงทั้งสองฝ่ายต่างบอกตรงกันว่าไม่ประสบความสำเร็จในการผ่าทางตันใด ๆ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ คนหนึ่ง เรียกการพูดคุยครั้งนี้ว่าเป็นมืออาชีพและมีแก่นสาร แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานใด ๆ ส่วนทำเนียบเครมลินระบุว่า ปูตินบอกกับไบเดน ว่า สหรัฐฯ ไม่ใส่ใจความกังวลหลักของรัสเซีย และไม่ได้รับคำตอบ "อย่างเป็นรูปธรรม" ต่อความกังวลด้านความมั่นคงของรัสเซีย รวมถึงการขยายขอบเขตของนาโต และการประจำการกองกำลังในยูเครน
การต่อสายตรงคุยกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย มีขึ้น หนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ และพันธมิตรเตือนว่ากองทัพรัสเซียซึ่งประจำการทหารกว่า 100,000 นาย ใกล้ชายแดนยูเครน อาจเปิดฉากโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ แม้รัสเซียจะฏิเสธว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นการหวาดวิตกเกินเหตุก็ตาม
แม้ทำเนียบเครมลินประณามสหรัฐฯ ว่าหวาดกลัวเกินไปในเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งยูเครน แต่ก็ระบุว่า ทั้งสองผู้นำ ต่างเห็นพ้องจะเดินหน้าเจรจากันต่อไป
---สหรัฐฯ ถอนทัพออกจากยูเครน---
มีรายงานว่า นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ทหารอเมริกันที่เคลื่อนพลเข้าประจำการในยูเครนเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนถอนทัพและย้ายไปประจำการยังประเทศอื่นในยุโรปเพื่อความปลอดภัย ขณะที่ ทหารรัสเซียประมาณ 100,000 นายพร้อมอาวุธล้ำสมัยตรึงกำลังตามแนวชายแดนตะวันออกของยูเครนและแนวชายแดนเหนือของเบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัสเซีย
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สมาชิกกองกำลังพิทักษ์ชาติแห่งฟลอริดา (Florida National Guard) จำนวน 160 นายประจำกรมผสมทหารราบที่ 53 ได้ระดมกำลังไปประจำการยังยูเครน เพื่อปฏิบัติภารกิจฝึกให้กับทหารท้องถิ่น
จอร์น เคอร์บีย์ โฆษกกลาโหมสหรัฐฯ เพนตากอนระบุในแถลงการณ์ ว่าการตัดสินใจเช่นนี้เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน โดยคำนึงถึงความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของบุคลากรมากที่สุด และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบุคลากรของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่ประจำการอยู่ในยูเครน
และการปรับเปลี่ยนกำลังทหารครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพันธสัญญาในการสนับสนุนกองทัพยูเครน แต่จะสร้างความคล่องตัวและสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรและขัดขวางการรุกราน
---อพยพเจ้าหน้าที่ทูตส่วนใหญ่---
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตัดสินใจอพยพเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ที่ทำงานสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเคียฟ เมื่อวันเสาร์ (12 กุมภาพันธ์) ตามด้วยแคนาดาและออสเตรเลียที่ได้ทำการอพยพแบบเดียวกัน
ทั้ง 3 ประเทศได้ย้ายฐานปฏิบัติการไปทางตะวันตกของเมืองลวิฟ ใกล้กับพรมแดนโปแลนด์ แม้ว่าเอกอัคราชทูตสหราชอาณาจักร กล่าวว่า เธอจะยังคงอยู่ในเมืองหลวงของยูเครน พร้อมกับทีมงานหลักของเธอ
แอนโทนี บลิงเคนรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ความเสี่ยงของการปฏิบัติการทางทหารนั้นสูงพอ และภัยคุกคามกำลังใกล้เข้ามามาก ทำให้การอพยพต้องกระทำด้วยความรอบคอบเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ประเทศอื่น ๆ รวมถึง เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรก็ได้แนะนำให้พลเมืองของตนเองเดินทางออกจากยูเครนทันที
ขณะเดียวกัน สายการบิน KLM ของเนเธอร์แลนด์ได้ยกเลิกเที่ยวบินไปกรุงเคียฟอย่างไม่มีกำหนดในวันเสาร์ (12 กุมภาพันธ์) ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลเรื่องความเสี่ยงด้านการเดินทางและ "การวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยแบบครอบคลุม"
---กลิ่นอายยุคนาซีในอากาศ---
เบน วอลเลซ เลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร ได้เปรียบเทียบความพยายามทางการทูตของชาติตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้ว่า “เป็นการยุติการบุกรุกเพื่อเอาใจนาซี”
วอลเลซ บอกกับหนังสือ The Sunday Times ว่า มันมีกลิ่นอายของเยอรมนีในอากาศ โดยอ้างอิงจากข้อตกลงกับฮิตเลอร์ที่ล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้ วอลเลซ บอกว่า การโจมตียังคงมีแนวโน้มที่สูงมาก และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ซานนา เบสท์เพียตชัค นักข่าว BBC รายงานว่า ยังไม่มีสัญญาณสำคัญของความตื่นตระหนกในกรุงเคียฟ หรือเมืองหลักอื่น ๆ ของยูเครน
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ชาวยูเครนเริ่มรับมือภัยคุกคามจากรัสเซียที่เพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง และกำลังดำเนินการมาตรการฉุกเฉินของตนเอง
อย่างไรก็ตาม แผนการอพยพฉุกเฉินสำหรับประชาชนในกรุงเคียฟกว่า 3 ล้านคน ถูกร่างขึ้นโดยหน่วยงานเทศมนตรีของกรุงเคียฟ เพื่อดำเนินการป้องกันไว้ก่อน
ด้านทำเนียบขาว เตือนว่า การบุกรุกสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และอาจจะเริ่มจากการโจมตีทางอากาศ
จอห์น เคอร์บี โฆษกเพนตากอน ให้สัมภาษณ์กับ "Fox News Sunday" ระบุว่า ไม่สามารถยืนยันรายงานที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ระบุว่ารัสเซียกำลังวางแผนที่จะบุกยูเครนในวันพุธ แต่กล่าวว่าพวกเขาจะพยายามป้องกัน "การโจมตีแบบเซอร์ไพรส์" พร้อมกับระบุว่า การประเมินเหล่านี้มาจากแหล่งที่หลากหลาย และไม่เพียงจากหน่วยสืบราชการลับเท่านั้น
—————
แปล-เรียบเรียง: สุภาพร เอ็ลเดรจ
ภาพ: Reuters