"ชุดไปรเวท" ในโรงเรียน: มุมมองที่แตกต่างของผู้ปกครอง
แต่งชุดไปรเวทไปโรงเรียนได้ : เสียงเฮผู้ปกครอง vs. ความกังวลเรื่องความเหลื่อมล้ำ
คำสั่งฟ้าผ่าจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่อนุญาตให้โรงเรียนยกเว้นหรือผ่อนผันการแต่งเครื่องแบบนักเรียน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่บวกและลบ
"ชุดไปรเวท" ในโรงเรียน: เสียงสะท้อน 2 มุม จากผู้ปกครอง
"ดีใจมากค่ะที่ลูกไม่ต้องใส่ชุดนักเรียนราคาแพงอีกต่อไป ตอนนี้เราสามารถเลือกเสื้อผ้าที่สบายและเหมาะสมกับการทำกิจกรรมได้เอง ทำให้ประหยัดและไม่ต้องกังวลเรื่องชุดยับหรือเลอะเทอะ" คุณแม่รัตนา ผู้ปกครองนักเรียนชั้น ป.6 กล่าว พร้อมเสริมว่า การไม่บังคับเครื่องแบบยังช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเลือกเสื้อผ้าของตัวเองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลายครอบครัวเฮลั่น แต่ก็มีผู้ปกครองอีกส่วนหนึ่งที่แสดงความกังวลว่า นโยบายนี้อาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนมากขึ้น เพราะเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะดีก็จะสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมหรูหรา ในขณะที่เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยอาจรู้สึกแตกต่างและด้อยค่า
คุณพ่อสมชาย เล่าว่า "ผมเป็นห่วงว่าโรงเรียนจะกลายเป็นสนามแข่งขันแฟชั่นไปรเวท เด็กๆ อาจจะเริ่มสนใจแต่เรื่องแบรนด์และราคามากกว่าการเรียน ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในสังคมมากกว่าเดิม"
นอกจากประเด็นด้านความเท่าเทียมแล้ว คุณแม่วาสนา ยังมองว่า การไม่มีเครื่องแบบอาจส่งผลต่อระเบียบวินัยของนักเรียนด้วย "การแต่งชุดนักเรียนมันเป็นการฝึกวินัยและความรับผิดชอบให้กับเด็กๆ แต่ถ้าให้ใส่อะไรก็ได้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอาจจะเกิดได้ง่ายขึ้น เพราะไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ในโหมดของการมาเรียนหนังสือ"
อีกเสียงสนับสนุนคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาจากนายภานุภพ ผู้ปกครองนักเรียน เขามองว่านี่เป็นการปรับเปลี่ยนที่สอดคล้องกับสังคมและความต้องการของเด็กยุคใหม่ ที่ไม่ควรยึดติดกับเครื่องแบบแบบเดิมๆ
ในแง่ของภาระค่าใช้จ่าย นายภานุภพซึ่งเป็นพ่อของลูก 3 คน เผยว่า เขาโล่งใจขึ้นมากกับนโยบายนี้ เพราะทุกครั้งที่เปิดเทอม เขาต้องเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนใหม่ให้ลูก ยิ่งลูกในวัยประถมที่ร่างกายเติบโตเร็ว ทำให้ต้องเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าทุกปี นับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง แถมยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากทางโรงเรียนอีกด้วย
ความเห็นอีกประการของ นายภานุภพ คือ การไม่บังคับเครื่องแบบถือเป็นการปลดล็อกความคิดให้กับเด็ก ลดความกดดันในการที่จะต้องใส่ชุดให้ครบ เนี้ยบ และถูกระเบียบตลอดเวลา ทั้งที่เด็กไทยมีความเครียดจากการเรียนอยู่แล้ว การเปิดโอกาสให้ใส่ชุดอื่นๆ ที่เหมาะสมจึงช่วยลดความกดดันตรงนี้ไปได้บ้าง
นอกจากนี้ นายภานุภพ ยังเสนอว่า รัฐควรเก็บข้อมูลและศึกษาผลกระทบของนโยบายนี้ในระยะยาว ว่าช่วยให้ผลการเรียนและพัฒนาการของเด็กดีขึ้นหรือไม่ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาไทยให้ดียิ่งขึ้น
ความเห็นของ นายภานุภพ สะท้อนมุมมองของผู้ปกครองอีกกลุ่มที่เห็นด้วย กับนโยบายนี้ โดยเฉพาะในแง่การแบ่งเบาภาระและการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ผ่อนคลายมากขึ้นให้กับเด็ก เป็นอีกเสียงที่ช่วยให้เห็นภาพรวมประเด็นนี้รอบด้านมากขึ้น
ผ่อนปรนเครื่องแบบนักเรียน: เส้นบางๆ ระหว่างลดภาระกับความเหลื่อมล้ำ
จากเสียงของผู้ปกครองทั้งสองด้าน สะท้อนให้เห็นว่า การยกเลิกหรือผ่อนปรนเครื่องแบบนักเรียน ถึงแม้จะช่วยลดภาระทางการเงิน แต่หากปราศจากการวางแผนรับมือที่ดี ก็อาจจะส่งผลเสียในแง่ของความเหลื่อมล้ำและระเบียบวินัยได้
ดังนั้นหนทางข้างหน้า โรงเรียนและผู้ปกครองจึงควรร่วมมือกันเพื่อหาจุดสมดุล เช่น การกำหนดกฎระเบียบการแต่งกาย ที่เหมาะสม ไม่เน้นแบรนด์เนม, จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องความเท่าเทียม, หรือส่งเสริมการแต่งกายจากเสื้อผ้ารีไซเคิล เพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อความแตกต่างหลากหลาย
สุดท้ายนี้ อาจกล่าวได้ว่า คำสั่งของ ศธ. เป็นก้าวแรกที่ท้าทายต่อการปฏิรูปการศึกษาไทย แต่การสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่เสมอภาคเท่าเทียมอย่างแท้จริงนั้น ยังต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการหล่อหลอมเยาวชนให้เป็นคนดีของสังคม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่การศึกษาพึงมุ่งหวังนั่นเอง
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN