เปิดไม่หยุด! มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. เปิดทะลุ1,000 สาขา l การตลาดเงินล้าน

คุณ แอนดี้ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ขยายเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 9 ปี เติบโตเป็นผู้นำด้านค้าปลีกในระดับประเทศ ที่นำเสนอสินค้ามากกว่า 15,000 รายการ ใน 6 หมวดหมู่หลัก ตั้งแต่อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ไปจนถึงของใช้ในบ้านที่จำเป็น ล่าสุดเพิ่งฉลองสาขาครบ 1,000 แห่ง และยังมีแผนขยายสาขาในไทยต่อเนื่องอีก
โดยปีนี้ จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 200 สาขาทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน จะยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเสริมด้วยนวัตกรรม เช่น รูปแบบร้านค้า มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย.2.0 ที่เป็นการออกแบบสาขารูปแบบใหม่ ขนาด 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันสาขารูปแบบ 2.0 นั้น เปิดบริการแล้ว 2 แห่งแล้วคือที่ ซีคอน ศรีนครินทร์ และ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน
ด้านคุณ อานุภาพ คงมาลัย รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. กล่าวเสริมว่า แผนการเปิดสาขาในไทยนั้น จะทำเลหลัก เช่น ในศูนย์การค้า ห้างค้าปลีก และสาขาแบบสแตนอโลน ที่จะทำให้สามารถเข้าไปถึงระดับอำเภอและตำบลทั่วประเทศ โดยภายในระยะ 3 ปีจากนี้ไปจนถึงปี 2570 มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 500 สาขา ภายใต้งบลงทุนปีละ 2,000 ล้านบาทต่อเนื่องทุกปี
สำหรับแบรนด์ร้าน มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. นั้น เริ่มต้นธุรกิจในประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2548 (หรือ 20 ปีที่แล้ว) โดยมีสาขาแรกอยู่ที่ กัวลาลัมเปอร์ ต่อมาก็ได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศมาเลเซียและประเทศอื่น ๆ
ส่วนการเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เปิดสาขาแรกอยู่ที่ ซีคอน บางแค ตัวเลขสาขาจนถึงปัจจุบันมีจำนวน 1,004 สาขา โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เปิดสาขาใหม่จำนวน 72 สาขา และมีพนักงานกว่า 10,000 คน
ข้อมูลจากรายงานวิจัยตลาด ของ ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน พบว่า มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ที่ใหญ่ที่สุด และเติบโตเร็วที่สุด (ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะในประเทศไทย) โดยในปี 2566 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7.4
และหากเปรียบเทียบเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกที่มีสาขาจำนวนมาก (หรือ เชน รีเทลเลอร์) พบว่าปี 2566 มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณร้อยละ 35.6 เมื่อพิจารณาจากรายได้
มาดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี สำหรับในประเทศไทย พบว่า มีการเติบโตต่อเนื่อง โดย ปี 2565 มีรายได้จากการขาย กว่า 9,900 ล้านบาท และกำไร 1,000 ล้านบาทเศษ ส่วนปี 2566 รายได้จากการขายเพิ่มเป็น 12,800 ล้านบาท กำไรกว่า 1,300 ล้านบาท และปีล่าสุด 2567 มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอีก เป็นกว่า 16,000 ล้านบาท และกำไรกว่า 1,700 ล้านบาท
คุณ อานุภาพ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้ใช้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (อีโคโนมี ออฟ สเกล) จากการจัดหาสินค้าของเครือข่ายรวมที่ดำเนินกิจการค้าปลีกภายใต้แบรนด์ มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย รวมทั้งบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ และคลังสินค้า เอง ที่ช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ และสามารถจำหน่ายสินค้าได้ในราคาต่ำ
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ยังคงต้องติดตามถึงผลกระทบในเรื่องของกำแพงภาษี ต่อไป แต่สำหรับ มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบนั้น โดยจากการสำรวจข้อมูลลูกค้า พบว่าสิ่งที่ลูกค้านึกถึง คือเรื่องของราคา มาเป็นอันดับแรก โดยยอดซื้อต่อบิลของลูกค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 172-175 บาท ต่อบิลต่อคน และใน 1 บิล จะซื้อสินค้าประมาณ 4 ชิ้น
ถัดมาคือสินค้าที่มีความหลากหลาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกัน มีสาขาจำนวนมาก และตั้งอยู่ใกล้บ้าน
นอกจากนี้ ในการทำวิจัยร่วมกับนีลเส็น พบว่า กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นตลาดแมส และลูกค้าระดับล่างเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มครอบครัว แต่ในช่วง 2 ปีนี้กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น เป็นกลุ่มกลางและบนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านที่มีกำลังซื้อ มีอายุ 35 ปีขึ้นไป