CK 'กสิกรไทย' เปิด 3 เหตุผลแนะซื้อ-อัพเป้าใหม่
ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย จำกัด ส่องหุ้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK กำไรปกติไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 279.7 ลบ. (-49.3% YoY และ +56.5% QoQ) ตามที่คาดไว้ กำไรปกติ 9 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 60.5% ของประมาณการของฝ่ายวิจัย Backlog ระยะสั้นถูกกดดันจากความล่าช้าของการลงนามโครงการใหม่ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ ของ รฟท. อาจมี downside ต่อประมาณการปี 2564 ของฝ่ายวิจัย แนะนำ “ซื้อ” จาก backlog ที่โตแข็งแกร่งและ holding discount ที่ลดลง หากมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น เพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ขึ้น 0.1% เป็น 29.81 บาท
รีวิวผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 เมื่อวันที่ 15 พ.ย. CK ประกาศงบการเงินในไตรมาส 3/2564 โดยกำไรปกติอยู่ที่ 279.7 ลบ. ลดลง 49.3% YoY จากผลกระทบของการหยุดก่อสร้างจากการระบาดของโควิด-19 แต่เพิ่มขึ้น 56.5% QoQ จากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนของบริษัทในเครือ (BEM CKP และ TTW) ตัวเลขกำไรสุทธิที่ออกมาสอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิจัย แต่รายได้ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ 12.2% จากอัตรากำไร (GPM) ที่สูงกว่าคาดไว้ กำไรปกติช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 286.4 ลบ. คิดเป็น 60.5% ของประมาณการกำไรปกติปี 2564 ของฝ่ายวิจัย ซึ่งอาจทำให้เกิด downside ต่อประมาณการกำไรปกติในปี 2564 ของฝ่ายวิจัยที่ 473.2 ลบ.
สถิติการดำเนินงาน ยอด backlog ในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นลบ. เทียบกับ 2.83 หมื่นลบ. ในไตรมาส 2/2564 ประกอบด้วยยอด backlog มูลค่า 4.6 หมื่นลบ. จากโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ร่วมลงทุนกับ STEC แต่การเซ็นสัญญาถูกเลื่อนจากแผนเดิมในเดือน ต.ค. ไปเป็นปีหน้า ในส่วนของต้นทุน GPM อยู่ที่ 10.4% เทียบกับที่ 9.3% ในไตรมาส 3/2563 และ 10.0% ในไตรมาส 2/2564 และ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) อยู่ที่ 444.7 ลบ. ซึ่งสะท้อนในอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ออกมาติดลบของบริษัทฯ อยู่ที่ 6.8% แม้บริษัทในเครือของ CK อย่าง CKP และ BEM ทำผลงานได้ดีโดยมีส่วนแบ่งกำไรให้กับ CK ถึง 431.6 ลบ. (-21% YoY และ +40% QoQ) และเงินปันผลคงที่จำนวน 232.3 ลบ. จาก TTW ช่วยหนุนกำไรสุทธิให้กับ CK ก็ตาม
แนวโน้ม ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงลบต่อการสร้าง backlog ใหม่ของ CK ในปีนี้ โครงการที่รอลงนามคือโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ (มูลค่ารวม 4.6 หมื่นลบ.) และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบางของ CKP (8.6 หมื่นลบ.) ที่ต้องถูกเลื่อนออกไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการดำเนินงานของ CK ในระยะสั้น และฝ่ายวิจัยจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี คาดว่า CK ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและเงินทุน จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่จะเปิดประมูลในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม ประมาณการกำไรปกติในปี 2564 ของฝ่ายวิจัยอาจมี downside เนื่องจากความล่าช้าในการลงนามโครงการใหม่ จะทบทวนประมาณการของหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์กับ CK ในวันที่ 23 พ.ย.
ราคาหุ้น CK ปรับเพิ่มขึ้น 31.3% YTD ทำผลงานดีกว่า SET Index ที่เพิ่มขึ้น 13.1% ราคาหุ้น CK ขณะนี้ซื้อขายด้วย PER ปี 2565 ที่ 29.1 เท่า และ P/BV ที่ 1.39 เท่า หรือเท่ากับ 0.61SD และ 0.89SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
คงคำแนะนำ “ซื้อ” CK และเพิ่มราคาเป้าหมายอิงด้วยวิธี SOTP ปี 2565 ขึ้นเป็น 29.81 บาทจากเดิม 29.79 บาท จากการปรับราคาเป้าหมายของ CKP และ TTW ขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยหนุนราคาหุ้น ได้แก่ 1) การที่ CK ชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตกและโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ 2) การกลับมาดำเนินงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชนหลังวิกฤตโควิด-19 และ 3) CK ส่งต่อเงินปันผลที่สูงขึ้นจากบริษัทในเครือให้กับผู้ถือหุ้น
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1) ความไม่สงบทางการเมือง 2) ความล่าช้าในการลงนามโครงการใหม่ 3) การประมูลเมกะโปรเจกต์ที่ล่าช้า และ 4) การแข่งขันระหว่างผู้รับเหมารายใหญ่ที่อาจบีบความสามารถในการทำกำไรของโครงการ