3 แผน 4 เป้าหมาย รัฐบาลเปลี่ยนวิธีใช้เงิน เพื่อปักฐานเศรษฐกิจใหม่

รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงบกลาง 157,000 ล้านบาท เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และปลดล็อกระบบ เตรียมวางฐานโตระยะยาว
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางจากสงครามการค้า การปรับขึ้นภาษีนำเข้า และการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศมหาอำนาจ รัฐบาลไทยกำลังปรับวิธีคิดด้านการใช้งบประมาณ จากการอัดฉีดระยะสั้น มาสู่การวางโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 โดยถือเป็นแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งใหญ่ภายใต้ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
ไม่เพียงแค่นั้น ในวันเดียวกัน ครม.ยังเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถือเป็นสองทิศทางใหญ่ที่รัฐบาลเลือกใช้เพื่อวางฐานเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศไทยรับมือกับความผันผวนระยะยาว
วิกฤตซ้อนวิกฤต กับโจทย์ของการเปลี่ยนวิธีใช้งบประมาณ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญข้อจำกัดรอบด้าน ทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ขีดความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย และการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับบริบทใหม่ และเร่งปรับนโยบายให้มีความจำเป็น เร่งด่วน และสามารถวางรากฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
กรอบ 3 แผน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ
แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท ได้รับการจัดวางในโครงสร้าง 3 ระดับ ได้แก่
1. แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Hardware)
ใช้งบกลางปี 2568 เพื่อดำเนินโครงการใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- ระบบน้ำและคมนาคม เช่น ป้องกันอุทกภัย กักเก็บน้ำ แก้คอขวดจราจร ปรับปรุงจุดตัดถนน-รถไฟ
- การท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เมืองรอง และระบบความปลอดภัย
- การเพิ่มผลิตภาพและลดผลกระทบด้านส่งออก เช่น ส่งเสริมเทคโนโลยีในภาคเกษตร สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการส่งออก
- เศรษฐกิจชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้าน SML และโครงการที่ออกแบบจากความต้องการของชุมชนโดยตรง
2. แผนการลงทุนในทุนมนุษย์ (Software)
มุ่งเน้นการสร้างโอกาสระยะยาว เช่น โครงการ 1 ตำบล 1 ทุน (ODOS) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อวางรากฐานทางปัญญาให้กับประชาชนในอนาคต
3. แผนการปรับกฎเกณฑ์และระบบ (System)
รวมถึงการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น การปลดล็อกโควตา การลดอำนาจพ่อค้าคนกลาง การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับภาครัฐและภาคธุรกิจ
4 เป้าหมายสำคัญ กระจายเงินอย่างมีกลไก
แผนทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ 4 เป้าหมายหลัก ได้แก่
- กระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจทันที: โดยผ่านโครงการที่สามารถดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ เพื่อรักษาการจ้างงานและกระตุ้นการบริโภค
- เพิ่มผลิตภาพในภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ: ไม่ว่าจะเป็นเกษตร การท่องเที่ยว หรือภาคส่งออก
- สร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจในระยะยาว: ด้วยการลงทุนในคนและระบบ เช่น การศึกษาและกฎหมาย
- วางรากฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน: โดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำในระดับพื้นที่
ระบบติดตามผล และกระบวนการที่โปร่งใส
แผนการใช้งบประมาณครั้งนี้จะดำเนินผ่านการเสนอข้อเสนอโครงการจากหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ภายในเดือนพฤษภาคม ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติในเดือนมิถุนายน และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบภายในเดือนกรกฎาคม 2568 โดยกำหนดให้ทุกหน่วยดำเนินการภายใต้กรอบระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการและประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในภาพรวม
เปลี่ยนจากการแจก เป็นการปักฐานระยะยาว
นายกรัฐมนตรีระบุชัดว่า แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตระยะที่ 3 จะถูก “ชะลอ” แต่ไม่ได้ “ยกเลิก” และงบประมาณบางส่วนที่วางไว้สำหรับนโยบายหาเสียงนั้น ถูกปรับทิศไปสู่การลงทุนที่ให้ผลคุ้มค่ากว่าในระยะยาว โดยเฉพาะในโครงสร้างพื้นฐานและทุนมนุษย์
รัฐบาลยังยืนยันเจตนารมณ์ในการรักษานโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ แต่ยืดหยุ่นกับสถานการณ์ เพื่อให้การใช้งบประมาณสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานสภาพัฒน์ ซึ่งได้ชี้ว่ารัฐควรหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนที่สร้างศักยภาพมากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
บทสรุปของการ “เปลี่ยนวิธีใช้เงิน”
แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการกระตุ้นแบบเดิม แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดและวางกลยุทธ์เชิงระบบ ที่ตั้งเป้าไว้ชัดเจนว่าจะไม่ใช้งบประมาณเพียงเพื่อให้เงินไหลออก แต่ต้องไหลลงลึกถึงโครงสร้างของเศรษฐกิจจริง พร้อมติดตามผลได้
รัฐบาลกำลังวางรากฐานใหม่บนเงื่อนไขของความจำเป็นเร่งด่วน และนั่นอาจเป็นบทพิสูจน์ว่า ในภาวะที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเปราะบางที่สุด การปรับวิธีใช้เงินอย่างมีกลยุทธ์ อาจสำคัญไม่น้อยไปกว่าการหาเงินเพิ่มเข้าระบบ