รีเซต

รัฐต้องใช้ PPP ปลดล็อกเพดานหนี้ แก้จีนเทา-สวมสิทธิ ก่อนเศรษฐกิจสะดุด

รัฐต้องใช้ PPP ปลดล็อกเพดานหนี้ แก้จีนเทา-สวมสิทธิ ก่อนเศรษฐกิจสะดุด
TNN ช่อง16
1 มิถุนายน 2568 ( 19:17 )
10

นักเศรษฐศาสตร์ชี้รัฐต้องเร่งใช้กลไก PPP ลดภาระงบประมาณ ปรับกฎหมาย-บังคับใช้จริงจัง แก้ปัญหาสวมสิทธิ-จีนเทา ก่อนกระทบศักยภาพประเทศ


ปลดล็อกการคลังด้วย PPP ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด

ภายใต้ข้อจำกัดของเพดานหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี และงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มีสัดส่วนการลงทุนไม่ถึงหนึ่งในสี่ นักเศรษฐศาสตร์อย่าง นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้ให้เห็นว่า ทางออกเชิงโครงสร้างที่เป็นไปได้คือการเร่งใช้ ระบบการลงทุนร่วมรัฐและเอกชน (PPP) อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

จากงบประมาณปี 2569 ที่เพิ่งผ่านสภาวาระแรก พบว่า งบลงทุนอยู่ที่เพียง 8.64 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 22.9% ของงบทั้งหมด ยังห่างไกลจากความจำเป็นในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลางและยาว

โอกาสและอุปสรรคในโครงการ PPP

การผลักดัน PPP ไม่ได้ขาดโมเดลหรือแนวทางที่ชัดเจน ปัจจุบันมีโครงการร่วมลงทุนภาครัฐ-เอกชนกว่า 138 โครงการ รวมวงเงินกว่า 9.1 แสนล้านบาท กระจายอยู่ในกลุ่มโครงการ High Priority, PPP Initiative และโครงการทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเช่น ความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือก ความเสถียรของรัฐบาล และกรอบนโยบายที่ต่อเนื่อง หากโครงการขาดการแข่งขันที่เป็นธรรม หรือมีปัญหาเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่สมดุล ความล่าช้าและความเสี่ยงจะยิ่งสะสมจนกลายเป็นต้นทุนแฝง

การนำข้อตกลงคุณธรรม หรือ Integrity Pact มาใช้กับการจัดซื้อจัดจ้าง และการคัดเลือกเอกชนในโครงการ PPP จึงอาจเป็นกลไกป้องกันความเสียหายต่อผลประโยชน์สาธารณะ

คลายกฎ-ลดขั้นตอน คีย์หลักของการกระตุ้นภาคธุรกิจ

อีกมุมหนึ่งของการปลดล็อกเศรษฐกิจ คือการ ทบทวนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น โดยนักวิชาการประเมินว่า กระบวนงานของรัฐกว่า 1,000 รายการก่อให้เกิดต้นทุนทางธุรกิจสูงถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี หากสามารถลดลงได้ จะช่วยประหยัดต้นทุนได้ถึง 1.3 แสนล้านบาท โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม

การคลายกฎไม่เพียงสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุน ยังเป็นสัญญาณว่ารัฐกำลังฟังเสียงของภาคเอกชนและประชาชนอย่างจริงจัง

ตัวเลขส่งออกโตผิดธรรมชาติ สัญญาณเตือน “สวมสิทธิ”

แม้การส่งออกไทยไตรมาสแรกจะขยายตัว 15.2% คิดเป็นมูลค่า 81,532 ล้านดอลลาร์ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพียง 0.6% บ่งชี้ถึงความผิดปกติ โดยเฉพาะอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังต่ำกว่า 60% ในหลายอุตสาหกรรม

นักวิชาการจึงเตือนว่า ตัวเลขการส่งออกที่ดูดีอาจเกิดจาก การสวมสิทธิ สินค้าต่างประเทศที่อาศัยสิทธิประโยชน์ของไทยในการส่งออก เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอและยังไม่มีมาตรการรับมือที่เป็นรูปธรรม

รุกล้ำทางเศรษฐกิจจากจีนเทา และสินค้าทุ่มตลาด

หนึ่งในความเสี่ยงเรื้อรังของเศรษฐกิจไทย คือแรงกดดันจากกลุ่มทุนสีเทาจากจีน รวมถึงสินค้านำเข้าราคาต่ำที่ไหลทะลักเข้าสู่ตลาดไทย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศกว่า 23 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก อลูมิเนียม เฟอร์นิเจอร์ หรือสิ่งทอ

ปัญหาดังกล่าวผูกพันกับการบังคับใช้กฎหมายฟอกเงิน พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และการใช้ บัญชีนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดของกฎหมายไทย นักวิชาการเสนอให้เร่งจัดระเบียบฐานข้อมูลกลางเพื่อคัดกรองและยกระดับประสิทธิภาพของกลไกคัดเลือกผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากรัฐ

สะท้อนภาพรวม เศรษฐกิจต้องการมากกว่าแค่ตัวเลขงบ

ข้อเสนอของภาควิชาการไม่ใช่เพียงการเร่งลงทุนด้วยเม็ดเงิน แต่เป็นการจัดระเบียบกลไกเศรษฐกิจให้ตอบสนองต่อความเป็นจริง การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น การคลายกฎที่เกินความจำเป็น และการวางนโยบาย PPP อย่างมืออาชีพจะเป็นเข็มทิศพาประเทศฝ่าภาวะการเติบโตต่ำได้อย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง