รีเซต

EXIM BANKคาดส่งออกไทยขยายตัวได้ 3% ท่ามกลางนโยบายทรัมป์ 2.0

EXIM BANKคาดส่งออกไทยขยายตัวได้ 3% ท่ามกลางนโยบายทรัมป์ 2.0
ทันหุ้น
13 กุมภาพันธ์ 2568 ( 11:57 )
9

EXIM BANKคาดส่งออกไทยขยายตัวได้ 3% ท่ามกลางนโยบายทรัมป์ ชี้การนำเข้าทั่วโลกจะเร่งตัวในไตรมาสแรก แนะผู้ส่งออกเร่งปรับตัว โดยเฉพาะกรณีสินค้าไทยถูกดั๊มราคาจากสินค้านำเข้าจากจีน ระบุ ค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

#ทันหุ้น นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(EXIM BANK)ประเมิน การส่งออกของไทยจะสามารถขยายตัวได้ถึง 3% ท่ามกลางนโยบายของทรัมป์ และคาดว่า การเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศต่างๆทั่วโลกจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทย จากนั้น จะเริ่มทยอยลดลง จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกเร่งปรับตัว

 

เขากล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า ยุคทรัมปี 2.0 ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างประเทศ ตลอดจนผลกระทบต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะยังไปต่อได้ปัจจัยเกื้อหนุน ประกอบด้วย การท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ขยายตัว

ต่อเนื่อง ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าตามนโยบายทรัมป์ 2.0 หนี้ครัวเรือนยังสูงถึง 89% และภาคการผลิตยังฟื้นตัวไม่ทันในปีที่ผ่านมา

 

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ปัจจัยส่งเสริมให้การส่งออกไทยปี 2568 ยังขยายตัวต่อได้ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกและนโยบายพรัมปี 2.0 ได้แก่ การเร่งนำเข้าของประเทศต่าง ทั่วโลกโอกาสส่งออกของไทยทดแทนสินค้าจีน คาทิ คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์แผงโซลาร์

 

โอกาสส่งออกสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร สินค้าไลฟ์สไตล์ การย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติเข้ามาในไทย เช่น ธุรกิจดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า การขยายตัวของตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง และการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคม

การค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) เป็นข้อตกลง FTA ฉบับแรกว่างไทยกับประเทศในยุโรป (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์)

 

ขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ สินค้าไทยอาจโดนมาตรการจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เกินดุลกับคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โทรศัพท์ เครื่องจักร หรือถูกบังคับให้นำเข้าเพิ่ม อาทิ สินค้าเกษตร น้ำมันก๊าซ

ธรรมชาติ สินค้าไทยที่อยู่ใน Supply Chain จีนได้รับผลกระทบ อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางพารา สินค้าไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้าสู่ไทยและตลาดโลก อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ ความผันผวนด้านต้นทุนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolics) และค่าเงินที่ยังผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินที่เหมาะสมของผู้นำเข้าและส่งออกควรอยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

นายรักษ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกยังทวีความรุนแรงและส่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์ รวมถึงภาคธุรกิจ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น รวมถึงคำฝุ่น PM 2.5 ทำให้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมยังเพิ่มจำนวนขึ้นถึงกว่า 18,000 ฉบับ ปัจจุบัน โดยโลกและไทยยังต้องการเม็ดเงินสีเขียว (Climate Finance) อีกจำนวนมาn Climate Policy Initiative ประเมินว่า Climate Finance โลกปี 2566 อยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเม็ดเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าความต้องการที่ประเมินว่าสูงถึงราว 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ในช่วงปี 2567-2573 เท่ากับว่าโลกยังต้องการ Chmate Finance เพิ่มขึ้นราว 5 เท่า

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง