วิเคราะห์เจาะหุ้น Commerce กับ 3 นโยบายรัฐหนุนกำลังซื้อ
#ทันหุ้น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่ม Commerce กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้นจาก i) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ii) การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และ iii) แคมเปญ E-refund ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบของการจับจ่ายจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าอาจจะลดลงไปได้บางส่วน ซึ่งผลกระทบด้านบวกดังกล่าวจะมาช่วยรองรับภาระที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจากการศึกษาของฝ่ายวิจัย พบว่าบริษัทในกลุ่ม commerce ที่เราศึกษาอยู่จะได้รับผลบวกสุทธิอยู่ในช่วง 2%-8% และจะช่วยหนุนภาวะตลาดของราคาหุ้นในกลุ่ม ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้ที่ Neutral
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีกำลังซื้อสุทธิ 1.88 แสนล้านบาท เพิ่มเข้ามาในระบบเศรษฐกิจจากนโยบายต่างๆ ที่ภาครัฐมีแผนจะออกมาดำเนินการ (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และ E-refund) ซึ่งจะมาช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากการจับจ่ายที่ลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะลดลง ฝ่ายวิจัยคาดว่ายอดใช้จ่ายโดยรวมที่เพิ่มขึ้นจะมาจากหมวดอาหาร ประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท และหมวดที่อยู่อาศัย และของใช้ในครัวเรือนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประเมินว่านโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (อิงจากสมมติฐานว่ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน) และการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ (อิงจากสมมติฐานว่ามีการขึ้นเงินเดือน 8%) จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น 1.09 แสนล้านบาท และ 1.1 หมื่นล้านบาทตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน การปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 (จาก 35 ล้านคน เหลือ 32 ล้านคน) จะทำให้ยอดจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวเพื่อซื้อสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงประมาณ 3.15 หมื่นล้านบาท (Figure 24)
ส่วนแคมเปญ E-refund เราคาดว่าจะทำให้มียอดใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มเข้ามาในระบบ 1 แสนล้านบาท อิงจากสมมติฐานว่า 50% ของผู้เสียภาษีทั้งหมดเข้าร่วมแคมเปญนี้ โดยสรุป คาดว่าประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยกระตุ้นยอดขายของบริษัทที่ขายสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคประมาณ 4% และจะช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือย 8% (Figure 27)
ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะถูกชดเชยไปได้เกือบหมด
การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนของบริษัทในกลุ่ม Commerce ในระดับที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของต้นทุนแรงงานต่อยอดขายรวม และอัตรากำไร ฝ่ายวิจัยพบว่าต้นทุนค่าแรงของบริษัทในกลุ่ม commerce ที่ศึกษาอยู่ (C.P. All PCL (CPALL.BK/CPALL TB)*, Siam Global House PCL (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)*, Home Product Center PCL (HMPRO.BK/HMPRO TB)* และ CP Axtra PCL (CPAXT.BK/CPAXT PCL)) อยู่ในช่วง 5%-8% ของรายได้ และเนื่องจากระดับอัตรากำไรของแต่ละบริษัทแตกต่างกัน ดังนั้น การขึ้นค่าแรง 5% จะกระทบกับอัตรากำไรสุทธิ (net margin) อยู่ในช่วง 3%-12% (Figure 29)
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านลบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำน่าจะถูกชดเชยไปได้เกือบหมดจากผลของกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาของฝ่ายวิจัย พบว่าบริษัทในกลุ่ม commerce ที่ศึกษาอยู่จะได้รับผลบวกสุทธิอยู่ในช่วง 2%-8% (Figure 30) โดยมีเพียง DOHOME บริษัทเดียวเท่านั้นที่จะได้รับผลลบสุทธิ 1%
กำไรมี upside และเป็นโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้
ฝ่ายวิจัยมองว่าอานิสงส์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประมาณการกำไรปี 2567F มี upside อีก และทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น (อิงจาก PER เท่าเดิม) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ภาวะตลาดเป็นบวกกับราคาหุ้น และเปิดโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้บ้าง
ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม Commerce ที่ Neutral โดยยังคงคำแนะนำและราคาเป้าหมายของหุ้นทุกตัวในกลุ่มที่ศึกษาอยู่เอาไว้เหมือนเดิม (CPALL แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 66.00 บาท, CPAXT แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท, HMPRO แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท, GLOBAL แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 17.20 บาท และ DOHOME แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท)
Risks เศรษฐกิจชะลอตัวลง, ถูก disrupt จากเทคโนโลยีใหม่, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ, พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่วางแผนเอาไว้, การหาทำเลเปิดสาขา