งานวิจัยชี้เด็กเล็กสูดมลพิษ เสี่ยงป่วยตอนโตโดยไม่รู้ตัว

ผลการศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงของมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพในระยะยาวของเด็ก โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและสมอง ผลการศึกษาที่วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กและเยาวชนกว่า 9,000 คนทั่วสหราชอาณาจักร พบว่าการได้รับมลพิษตั้งแต่อายุ 2-4 ปี เพิ่มความเสี่ยงที่พวกเขาจะมีสุขภาพแย่ลงเมื่อถึงวัย 17 ปีได้มากถึง 33%
งานวิจัยนี้ระบุช่วงอายุ 3-6 ปีว่าเป็น “ช่วงเวลาที่ไวต่อมลพิษ” ซึ่งหากเด็กในวัยนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเป็นพิษ อนุภาคฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 และ PM10 รวมถึงก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ส่งผลต่อทั้งระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต และแม้กระทั่งสมอง ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว และอาจเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหรือพัฒนาการที่ล่าช้า
จุดเด่นของงานวิจัยนี้ไม่เพียงอยู่ที่ผลกระทบทางสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึง ความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อม เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยมักอาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีมลพิษหนาแน่น ทำให้พวกเขามีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่า
ข้อมูลเสริมจาก Friends of the Earth ยังพบว่า ครัวเรือนในพื้นที่ที่มีมลพิษสูงมักไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง สะท้อนถึงการที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อมลพิษโดยตรง แต่กลับเป็นผู้รับผลกระทบหลักจากการใช้รถยนต์ของผู้อื่น
แม้สหภาพยุโรปได้ยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศให้ใกล้เคียงกับข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) แล้ว แต่สหราชอาณาจักรยังมีความล่าช้าในหลายประเด็น นักรณรงค์สิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อลดระดับมลพิษและปกป้องกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กเล็กในเขตเมือง
แผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศควรบูรณาการกับนโยบายสาธารณสุขและการพัฒนาเมืองอย่างจริงจัง เช่น การสนับสนุนขนส่งสาธารณะที่สะอาด การออกแบบเมืองให้เดินได้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในย่านรายได้น้อยให้ปลอดภัยจากมลพิษ
บทเรียนจากงานวิจัยนี้ชี้ชัดว่า มลพิษทางอากาศไม่เพียงส่งผลในระยะสั้น แต่ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงช่วงวัยรุ่นและอาจตลอดชีวิต นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่ควรถูกแยกจากนโยบายด้านสุขภาพและความเป็นธรรมทางสังคม หากเราต้องการสร้างสังคมที่เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตอย่างเท่าเทียม อากาศบริสุทธิ์ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่สิ่งหรูหราสำหรับคนบางกลุ่ม