รถร้อนหายไป 1,520 คัน ขสมก.จะเปลี่ยนโฉมกรุงเทพฯ ได้จริงหรือ?

โครงการเปลี่ยนรถโดยสารร้อน 1,520 คัน ของ ขสมก. ไปเป็นรถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ปัจจุบัน ขสมก. มีรถให้บริการทั้งหมด 2,883 คัน แบ่งเป็นรถร้อน 1,520 คัน และรถปรับอากาศ 1,363 คัน เมื่อโครงการเสร็จสิ้น รถทุกคันจะเป็นรถปรับอากาศทั้งหมดเป็นครั้งแรกของเมือง การตัดสินใจครั้งนี้วางเป้าหมายทั้งคุณภาพชีวิตผู้โดยสาร ต้นทุนการดำเนินงาน และสิ่งแวดล้อม
โครงการมีมูลค่า 15,355.6 ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2568–2574 รถจะทยอยส่งมอบเป็น 3 เฟส เริ่มจาก 500 คันแรกในเดือนกันยายน 2569 และครบ 1,520 คันภายใน 180 วันหลังจากนั้น การปรับเปลี่ยนครั้งนี้หมายถึงการจัดระเบียบระบบเดินรถใหม่ทั้งเครือข่ายเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น
ในด้านการเงิน การเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าจะช่วยประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 1,442 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นการลดค่าเชื้อเพลิงได้ 70% หรือประมาณ 1,463 ล้านบาทต่อปี และไม่ต้องเสียค่าเหมาซ่อม 1,800 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายดำเนินงานทั้งหมดกว่า 8,800 ล้านบาทต่อปีของ ขสมก. ตัวเลขเหล่านี้ถือว่าสำคัญต่อการลดภาระหนี้และเพิ่มความยั่งยืนทางการเงินในอนาคต
แม้รถไฟฟ้ามีราคาต่อคันสูงกว่ารถเอ็นจีวีประมาณ 3 เท่า โดยรถไฟฟ้าราคาเฉลี่ย 15 ล้านบาทต่อคัน ขณะที่รถเอ็นจีวีอยู่ที่ 4.5 ล้านบาทต่อคัน แต่เมื่อนำต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน 20 ปีมาเปรียบเทียบ รถเอ็นจีวีมีต้นทุนราว 34 ล้านบาทต่อคัน ในขณะที่รถไฟฟ้าอยู่ที่เพียง 30 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งหมายถึงการประหยัดในระยะยาว
สิ่งแวดล้อมคืออีกหนึ่งมิติที่ได้ผลชัดเจน รถโดยสารสาธารณะในกรุงเทพฯ ใช้น้ำมันดีเซลรวมประมาณ 120 ล้านลิตรต่อปี เมื่อเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล และยังลดมลพิษทางเสียงจากเครื่องยนต์ดีเซล โครงการใกล้เคียงในอดีตเคยประเมินว่าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 267,317 ตันต่อปี
ผลประโยชน์ยังส่งตรงถึงผู้โดยสาร ขสมก. ให้บริการเฉลี่ยวันละ 500,000–600,000 คน หรือมากกว่า 200 ล้านคนต่อปี ทุกคนจะได้ใช้รถปรับอากาศทั้งหมด โดยค่าโดยสารเส้นทางที่เคยใช้รถร้อนยังคง 8 บาทเหมือนเดิม รัฐบาลจะนำเงินที่ประหยัดจากต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าซ่อมมาชดเชย เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระเพิ่ม
รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ทุกคันจะติดตั้ง GPS เชื่อมต่อกับแอป BMTA Bus ให้ผู้โดยสารตรวจสอบตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ได้ รวมถึงรองรับระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ข้อมูลจาก GPS ยังช่วย ขสมก. บริหารจัดการเส้นทางให้รถตรงเวลา ลดปัญหารถขาดระยะที่เป็นปัญหามานาน
แม้ ขสมก. จะยังมีหนี้สะสมมากกว่า 150,000 ล้านบาท แต่การประหยัดรายปี 1,442 ล้านบาท จะช่วยลดขาดทุนจาก 5,000 ล้านบาทต่อปี เหลือราว 2,900 ล้านบาท และทำให้สามารถปลดหนี้ได้ภายใน 7 ปี หากโครงการเดินตามแผน ขสมก. ยังวางแผนเฟสต่อไปอีก 1,500 คัน เพื่อปลดระวางรถที่มีอายุใช้งานเกิน 20 ปีทั้งหมดภายในปี 2572
รัฐบาลเองก็มีนโยบายสนับสนุนควบคู่ โดยเตรียมออกมาตรการ “แพ็คเกจลดค่าเดินทาง” ในช่วง 4 เดือนแรกของรัฐบาลใหม่ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งที่สะดวกและราคาเข้าถึงง่ายมากขึ้น และอาจครอบคลุมรถโดยสารเอกชนด้วย
เมื่อรถร้อน 1,520 คันหมดไปจากท้องถนน กรุงเทพฯ จะได้ระบบรถโดยสารที่สะอาด เงียบ และประหยัดขึ้น การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือก้าวสำคัญที่ทำให้เมืองหลวงพร้อมเผชิญทั้งปัญหาจราจร มลพิษ และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นระบบ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
