วิกฤตเงียบ NCDs เบาหวาน ความดัน มะเร็ง มาเพราะใช้ชีวิตแบบคนเมือง

NCDs วิกฤตเงียบกลางเมืองใหญ่ เมื่อสุขภาพกลายเป็นภาระของระบบที่สร้างขึ้นเอง
โรคที่ไม่ติดต่อ แต่แพร่ลึกในโครงสร้างเมือง
ภายใต้แสงไฟของตึกสูงและจังหวะชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เมืองใหญ่กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่ไม่ปรากฏอยู่ในพาดหัวข่าวรายวัน แต่วางรากลึกในทุกมุมของชีวิตประจำวัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs อย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็ง กลายเป็นภัยเงียบที่กัดกร่อนสุขภาพคนเมืองและโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ในการเปิดงาน “คนไทย ห่างไกล NCDs ภายใต้วิถีเขตเมือง” นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า NCDs ต้องกลายเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่เพียงในมิติสาธารณสุข แต่รวมถึงผลกระทบด้านสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี จากการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานและค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เมืองใหญ่กับชีวิตที่ออกแบบให้เจ็บป่วย
กรุงเทพมหานครถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเชื่อมโยงระหว่างสภาพแวดล้อมเมืองกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า คนกรุงเทพฯ มีภาวะอ้วนลงพุงมากถึง 56.1 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 39.4 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราโรคเบาหวานสูงถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศที่ 9.5 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงพฤติกรรมของคนเมืองที่อาจไม่มีทางเลือกในการมีสุขภาพดีได้อย่างแท้จริง การเดินทางที่ใช้เวลานาน อาหารสำเร็จรูปที่เป็นทางออกของความเร่งรีบ สภาพแวดล้อมที่ไม่มีพื้นที่ให้ขยับร่างกายอย่างเพียงพอ และภาระทางเศรษฐกิจที่นำมาซึ่งความเครียด ล้วนเป็นปัจจัยที่หลอมรวมกันอย่างแยกไม่ออก
สุขภาพกลายเป็นเรื่องของโครงสร้าง ไม่ใช่แค่พฤติกรรม
ในอดีต การดูแลสุขภาพมักถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ในยุคเมืองขยาย ความเจ็บป่วยกลายเป็นผลลัพธ์ของระบบมากกว่าการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง เมืองที่ไม่มีฟุตบาทให้เดิน ไม่มีตลาดสดที่เข้าถึงง่าย และไม่มีเวลาว่างสำหรับการออกกำลังกาย เป็นเมืองที่ผลักให้ผู้คนเข้าสู่ความเสี่ยงทางสุขภาพโดยไม่ตั้งใจ
การตั้งคำถามกับพฤติกรรมการกิน หรือการไม่ออกกำลังกาย จึงไม่เพียงพออีกต่อไป หากยังไม่พูดถึงว่าระบบแบบไหนที่ทำให้การมีสุขภาพดีกลายเป็นสิ่งที่เลือกได้ยากขึ้นทุกวัน
อาสาสมัครสุขภาพในเมือง ภารกิจหนักขึ้นในพื้นที่เปราะบาง
แม้รัฐบาลจะเริ่มขับเคลื่อนเชิงนโยบาย โดยเฉพาะการผลักดันให้กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขในเขตเมือง หรือ อสส. ทำหน้าที่เป็นแกนนำให้ความรู้เรื่องสุขภาพแก่ชาวกรุงเทพฯ แต่บทบาทนี้กลับท้าทายกว่าที่คาดไว้
ต่างจากชนบทที่อาสาสมัครสามารถเข้าถึงครัวเรือนได้ง่าย คนในเมืองมีความสัมพันธ์กับชุมชนต่ำ เคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลา และมีพฤติกรรมสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การเข้าไปแทรกแซงพฤติกรรมจึงต้องอาศัยทักษะการสื่อสาร ความเข้าใจบริบทพื้นที่ และการสนับสนุนเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง
หากไม่ปรับเปลี่ยนเมือง สุขภาพจะเป็นต้นทุนระยะยาวของประเทศ
หากเมืองยังเดินหน้าแบบเดิม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอาจกลายเป็นต้นทุนที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แค่ในแง่เศรษฐกิจ แต่รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ลดลงอย่างเงียบเชียบ
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าคนควรเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร แต่ควรเปลี่ยนระบบอย่างไรให้คนสามารถมีสุขภาพดีได้โดยไม่ต้องฝืนชีวิตประจำวันเกินไป การลงทุนในระบบสาธารณสุขเชิงป้องกัน การออกแบบเมืองให้เดินได้จริง และการลดช่องว่างการเข้าถึงทรัพยากรสุขภาพ อาจเป็นคำตอบที่ต้องเร่งลงมือก่อนจะสายเกินแก้