รีเซต

APEC Summit จุดเปลี่ยน "การค้า-AI"

APEC Summit จุดเปลี่ยน "การค้า-AI"
TNN ช่อง16
4 พฤศจิกายน 2568 ( 11:10 )
13

การประชุมสุดยอดผู้นำ “เอเปค” (APEC Summit) ในปีนี้ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการประชุมครั้งนี้เป็นที่จับตามองของทั่วโลก ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่าง 2 เขตเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ “จีน” กับ “สหรัฐฯ” ที่ร้อนระอุ ประกอบกับการค้าโลกที่กำลังเผชิญหัวเลี้ยวหัวต่อจากระบบพหุภาคี (multilateral) ไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้า 

APEC เป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดในโลก โดยมีสมาชิกรวม 21 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งมีมูลค่า GDP ในปี 2567 อยู่ที่ 67.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 61 ของ GDP โลกที่อยู่ที่ 111.3 ล้านดอลลาร์ และ APEC มีจำนวนประชากร 2.982 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 หรือกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งโลก 

ขณะที่การค้ายังคงเป็นแกนหลักของกลุ่ม APEC โดยสมาชิกทั้งหมดมีสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของการค้าทั้งโลก เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานและเครือข่ายการผลิตที่ครอบคลุมตั้งแต่อเมริกาเหนือไปจนถึงอาเซียน ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศในกลุ่ม APEC ส่งออกสินค้ามีมูลค่ารวม 12.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวร้อยละ 50 ของการส่งออกทั้งหมดทั่วโลก สะท้อนถึงบทบาทของ APEC ที่มีต่อการค้าโลก สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การค้าสินค้าในกลุ่ม APEC ยังเติบโตแข็งแกร่ง มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 ส่วนมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ส่วนในด้านปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 และปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5

สำหรับการขยายตัวของ GDP ในกลุ่ม APEC เมื่อปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 3.6 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ GDP โลกที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 สะท้อนถึงความพร้อมในการรองรับแรงกระแทกของ APEC และบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกท่ามกลางความไม่แน่นอนและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก

ในปี 2568 เศรษฐกิจของ APEC ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความท้าทาย โดยรายงาน “วิเคราะห์แนวโน้มภูมิภาค APEC” (APEC Regional Trends Analysis) ล่าสุดเดือนตุลาคม ประเมินว่า การขยายตัวของ GDP ในปี 2568 น่าจะแตะที่ร้อยละ 3.1 สูงกว่าคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 เมื่อเดือนสิงหาคม โดยได้แรงหนุนจากกิจกรรมทางการค้าที่ฟื้นตัวจากความไม่แน่นอน และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม แรงเหวี่ยงดังกล่าวน่าจะชะลอตัวลงในปี 2569 คาดว่า GDP น่าจะเติบโตที่ร้อยละ 2.9 ท่ามกลางหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้น การค้าที่ชะลอตัวลง และปัจจัยกระตุ้นชั่วคราวที่ค่อย ๆ หายไป อาทิ การกักตุนสินค้าและการส่งออกล่วงหน้าก่อนที่มาตรการกำแพงภาษีจะมีผลบังคับใช้ 

รายงานยังเตือนถึงข้อจำกัดทางการคลังที่เพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาค โดยคาดว่าหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลกลางในกลุ่ม APEC น่าจะสูงกว่าร้อยละ 110 ของ GDP ภายในปี 2569 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตโควิดยังเป็นภาระยืดเยื้อและกระทบการคลังของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ หนี้สาธารณะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ร้อยละ 113 ของ GDP ในปี 2570, ขยับสู่ร้อยละ 116 ของ GDP ในปี 2571, ก่อนอยู่ที่ร้อยละ 118 ของ GDP ในปี 2572 และขยับแตะร้อยละ 120 ของ GDP ในปี 2573 ขณะที่การฟื้นตัวของรายได้ก็เป็นไปอย่างล่าช้า สวนทางกับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และทุนมนุษย์ รวมถึงรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่เพิ่มขึ้นสำหรับประชากรสูงอายุ

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อใน APEC ยังอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.2 ในไตรมาส 3 ของปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้นหลังเผชิญความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก่อนหน้านี้ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ค่อนข้างคงที่ เมื่อแรงกดดันด้านราคาเริ่มคลี่คลายลงทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีช่องว่าสำหรับการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็เว้นช่องว่างสำหรับการปรับตัวหากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

แม้จะมีความท้าทายใหม่ ๆ รายงานฉบับล่าสุดยังเน้นย้ำว่า ความร่วมมือกันในกลุ่ม APEC ยังเป็นเสาหลักที่สำคัญในการปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ สำหรับปี 2569 การดำเนินนโยบายการคลังอย่างชาญฉลาด การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และการเสริมสร้างความร่วมมือ จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ากลางสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ซับซ้อนมากขึ้น

ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคครั้งล่าสุด ผู้นำของ 21 เขตเศรษฐกิจได้ให้การรับรอง “ปฏิญญาคยองจู” (Gyeongju Declaration) ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยตระหนักถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ที่กำลังส่งผลต่อตลาดแรงงานและกระทบต่อเศรษฐกิจของสมาชิก APEC

น่าสังเกตว่า การรับรองปฏิญญาครั้งล่าสุดนี้ไม่ปรากฏคำว่า “พหุภาคี” หรือ “องค์การการค้าโลก” (WTO) เหมือนในอดีต ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า เป็นการสะท้อนถึงแนวโน้มการค้าเสรีที่ลดลง ท่ามกลางลัทธิกีดกันทางการค้า (protectionism) ที่เพิ่มขึ้น หลังจากสหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการกำแพงภาษีต่อประเทศต่าง ๆ ภายใต้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ถ้อยแถลงในปฏิญญาฉบับล่าสุดสะท้อนว่า สมาชิกยอมรับถึงความยากลำบากในการฟื้นระเบียบการค้าเสรีบนพื้นฐานของระบบพหุภาคีและ WTO

ทั้งนี้ มีรายงานว่าข้อความที่เกี่ยวข้องกับ “การค้าและการลงทุน” ในปฏิญญาคยองจูเป็นประเด็นถกเถียงจนถึงก่อนหน้าเส้นตายที่จะประกาศเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยใช้คำแทนว่า ระบบการค้าโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ และการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ครั้งนี้ยังสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนในเรื่องบทบาทของ 2 เขตเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ ซึ่งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเกาหลีใต้ โดยได้หารือทวิภาคีกับผู้นำบางประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่นำไปสู่การบรรลุข้อตกลงสงบศึกทางการค้าเป็นการชั่วคราว รวมถึงการหารือกับประธานาธิบดีอี แจ-มย็อง ของเกาหลีใต้ ที่สนับสนุนความร่วมมือด้าน AI ระหว่างกัน แต่ผู้นำสหรัฐฯ เดินทางกลับก่อน ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ด้วยตัวเอง สะท้อนถึงการลดบทบาทนำในเวทีระดับภูมิภาค ขณะที่ผู้นำจีนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีนี้ รวมถึงการเสนอให้จัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์โลก (World Artificial Intelligence Cooperation Organization) 

บทบาทของจีนในครั้งนี้ปูทางสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง นับเป็นครั้งที่ 3 ที่เป็นเจ้าภาพ หลังเคยจัดที่นครเซี่ยงไฮ้ในปี 2544 และกรุงปักกิ่งในปี 2557 ขณะที่ในปี 2570 เวียดนามจะเป็นเจ้าภาพ ต่อด้วยปี 2571    จัดที่เม็กซิโก ส่วนในปี 2572    ยังรอการยืนยันอย่างเป็นทางการ ซึ่งแคนาดาเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ และปี 2573 จะจัดที่สิงคโปร์

ในส่วนของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เข้าร่วมการประชุม APEC โดยได้เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ยึดมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตอย่างครอบคลุม 2.ต้องเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัย ความรับผิดชอบในการใช้ AI และการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม และ 3.APEC ต้องเสริมพลังให้กับทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะในยุคที่ประชากรกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย

ขณะเดียวกัน AI ถือเป็นประเด็นสำคัญในการหารือระหว่างการประชุม APEC โดยผู้นำที่เข้าร่วมประชุมยังเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับโครงการริเริ่มด้าน AI เนื่องจากตระหนักถึงศักยภาพของ AI ในการปฏิรูปเศรษฐกิจทั่วโลก ด้วยการปลดล็อกด้านนวัตกรรม การเพิ่มผลผลิต การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยมีแนวทาง 3 ด้าน ได้แก่ 1.ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรม AI และส่งเสริมระบบนิเวศ AI ที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และเชื่อถือได้สำหรับทุกคน 2.เพิ่มการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญของสมาชิกในการเปลี่ยนผ่านสู่ AI และ 3.ส่งเสริมการพัฒนาและนำ AI มาใช้ โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ เวทีการประชุมสุดยอด CEO (APEC CEO Summit) ตลอด 4 วันเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการพูดคุยเรื่อง AI ในฐานะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน การดูแลสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และการกำกับดูแล ซึ่งสะท้อนความพยายามของแต่ละประเทศและบริษัทต่าง ๆ ในการก้าวให้ทันเทคโนโลยี รวมถึงการกระตุ้นให้มีการร่วมมือกันโดยยึดหลักความไว้วางใจ ความโปร่งใส และมาตรฐานสากล 

แม้ว่าปัญหาต่าง ๆ ยังคงมีอยู่ แต่ AI ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมไปจากเดิม อาทิ เฮลท์แคร์และพลังงาน พลัง AI กำลังกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับขีดความสามารถในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการเร่งค้นพบยาใหม่ ๆ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกำหนดนิยามใหม่ในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง