รีเซต

สงครามราคายืดเยื้อ รถมือสอง0ไมล์ ล้นตลาดจีน l การตลาดเงินล้าน

สงครามราคายืดเยื้อ รถมือสอง0ไมล์ ล้นตลาดจีน l การตลาดเงินล้าน
TNN ช่อง16
29 พฤษภาคม 2568 ( 12:00 )
8

รายงานข่าวจาก รอยเตอร์ส ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จีน ประชุมร่วมกับตัวแทนของหน่วยงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ และผู้ผลิตยานยนต์ ซึ่งประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน, สมาคมตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จีน และแพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองบางราย รวมถึง BYD และ Dongfeng Motor (ตงเฟิง มอเตอร์) เพื่อหารือเกี่ยวกับ รถมือสองที่ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน

การประชุมดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากคุณ เว่ย เจี้ยนจุน (Wei Jianjun) ประธานบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ให้สัมภาษณ์กับ ซีน่า ไฟแนนซ์ (Sina Finance) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอว่า ได้มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า รถมือสองศูนย์ไมล์ ขึ้นในตลาดจีน เป็นผลมาจากสงครามราคาที่ดำเนินมายาวนานหลายปีในอุตสาหกรรมนี้

ปรากฏการณ์ดังกล่าว เกี่ยวข้องกับรถยนต์ที่จดทะเบียนแล้วและมีป้ายทะเบียน ซึ่งถูกระบุว่าขายแล้ว แต่ไม่เคยถูกนำออกวิ่ง และนำกลับมาขายในตลาดรถยนต์มือสองกันอย่างแพร่หลาย พบว่าปัจจุบัน มีผู้ขายรถยนต์ในลักษณะดังกล่าวบนแพลตฟอร์มรถมือสองของจีนจำนวนมาก อย่างน้อยเป็นตัวเลข 3,000-4,000 ราย 

โดยแหล่งข่าว กล่าวกับรอยเตอร์ บอกว่า วิธีการดังกล่าวถือเป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ และตัวแทนจำหน่ายในอุตสาหกรรม ที่ต้องการผลักดันให้เกิดยอดขายรถยนต์ เป็นความพยายามเพื่อให้บรรลุกับเป้าหมายการขายที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมดังกล่าวไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ แต่ก็ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของผู้ผลิตยายนต์จีนให้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เช่น BYD และ Leapmotor (ลีปมอเตอร์)

ข่าวดังกล่าว สอดคล้องกับ สื่อท้องถิ่นจีน ไช่เหลียน (Cailian) รายงานว่า บริษัทผลิตรถยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และบางหน่วยงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้รับแจ้งให้เข้าร่วมประชุม ในหัวข้อ การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีคุณภาพในการจำหน่ายรถยนต์มือสอง และเพื่อหารือกรณีที่เกี่ยวข้องกับรถมือสองศูนย์ไมล์ ตลอดจนส่งเสริมการจำหน่ายรถยนต์มือสอง

โดยช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนได้พูดถึงเกี่ยวกับ รถยนต์มือสองที่มีเลขไมล์เป็นศูนย์นี้ อยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นกลยุทธ์การลดราคาแบบแอบแฝงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขายที่ทะเยอทะยาน

นอกจากการเปิดเผยถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวแล้ว ประธานบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้ออกมาเตือนว่า ภาคส่วนยานยนต์ของจีนกำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ เนื่องจาก แรงกดดันด้านราคา ได้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และซัพพลายเออร์ หนักหน่วงมากขึ้น

ทั้งยังเปรียบเทียบสถานการณ์ตลาดรถยนต์ กับบริษัท เอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ถูกปิดกิจการเมื่อปีที่แล้ว หลังเผชิญกับวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ โดยบอกว่าขณะนี้ มี เอเวอร์แกรนด์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว แต่ธุรกิจยังไม่ถึงขั้น ล้ม หรือล่มสลาย

ขณะที่สงครามราคาในตลาดรถยนต์จีน ยังคงดำเนินไปต่อเนื่อง รอยเตอร์ส รายงานด้วยว่า ได้สร้างความกังวลมากยิ่งขึ้นต่อตลาดรถยนต์ของจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด ความกังวลดังกล่าว ส่งผลต่อราคาหุ้นของ บีวายดี ให้ลดต่ำลง หลังเสนอส่วนลดราคารอบใหม่ล่าสุด สำหรับรถยนต์มากกว่า 12 รุ่น และส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ให้ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน

ซึ่ง บีวายดี ประกาศให้ส่วนลดด้านราคาสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ บีวายดี ก่อนวันที่ 30 มิถุนายนนี้ โดยรุ่น Dynasty และ โอเชียน หลายรุ่น ราคาลดลงไปอีกประมาณร้อยละ 10-30 เช่น รุ่นเริ่มต้น อีวี แฮทช์แบ็ค ซีกัล (Seagull) ราคาลดลงเหลือ 55,800 หยวน หรือราว 7,765 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมราคาอยู่ที่เกือบ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การประกาศลดราคาดังกล่าว ถูกมองว่า อาจจุดชนวนให้เกิดสงครามราคาระรอกใหม่อีกครั้ง โดย ตู้ เล่อ (Tu Le) กรรมการผู้จัดการของบริษัท ซีโน ออโต้ อินไซต์ บริษัทที่ปรึกษาด้านยานยนต์ ให้ความเห็นว่า การที่บีวายดี ลดราคารถยนต์ลง รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายเล็กไม่สามารถแบกรับกับภาวะขาดทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การล่มสลายของผู้เล่นที่อ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัป

ซึ่งช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทสตาร์ทอัปจำนวนมากเข้ามาในตลาดรถยนต์ของจีน เนื่องจากภาคส่วนรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดนี้ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบกับบริษัทส่วนใหญ่ ให้ประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก

จากข้อมูลของบริษัทวิจัย จาโต้ ไดนามิคส์ (Jato Dynamics) ระบุว่า ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ที่ดำเนินธุรกิจในจีนมีจำนวนอยู่ประมาณ 169 ราย และมากกว่าครึ่งหนึ่ง มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำกว่าร้อยละ 0.1 และตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้ ทำให้นึกถึงภาคส่วนยานยนต์ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 ที่ในช่วงเวลานั้น มีบริษัทผู้ผลิตมากกว่า 100 แห่งแข่งขันกัน ก่อนที่อุตสาหกรรมจะมีการรวมตัวกัน และเหลือแต่ผู้เล่นรายใหญ่ อย่าง ฟอร์ด เป็นต้น

เล่อ กล่าวอีกว่า สงครามราคาได้ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ในอดีต ผู้ผลิตรถยนต์สามารถตั้งราคาสูงขึ้นสำหรับรถที่มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ ที่สามารถควบคุมพวงมาลัยและเบรกได้ในบางสถานการณ์ แต่ปัจจุบัน ฟีเจอร์เหล่านั้น ถูกนำมาเป็นมาตรฐานในราคาขายปกติ เพราะการแข่งขันสูงขึ้น แต่นั่นก็ทำให้การทำกำไรจากฟีเจอร์เหล่านี้ลดลงไป

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หน่วยงานวางแผนด้านเศรษฐกิจของจีนเอง ได้ออกมาเตือนว่า การแข่งขันในบางอุตสาหกรรมมีความรุนแรงมากเกินไป ถึงขั้นที่มีบางบริษัทขายรถยนต์ในราคาต่ำกว่าทุน เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด และนั่นก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม 

อย่างไรก็ตาม สื่อจีน ไชน่า เดย์ลี รายงานการประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ปี 2025 ว่ามีแนวโน้มที่จะรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโลกต่อไป โดยคาดการณ์ว่าจะมียอดขายรถยนต์ อยู่ที่ 32 ล้านคัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

และยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ จะสูงถึง 16.5 ล้านคัน โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ ประมาณร้อยละ 30 จากปีก่อน ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าว จะเป็นยอดขายในประเทศจีน 15 ล้านคัน และอีก 1 ล้านคันเศษ จะเป็นการส่งออก

โดย จาง หย่งเว่ย (Zhang Yongwei) รองประธานและเลขาธิการของ China EV100 (ไชน่า อีวี 100) กล่าวว่า วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ จะเปลี่ยนจากช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็ว ที่เกิดขึ้น ระหว่างปี 2021 ถึง 2024 ไปสู่ช่วงการสร้างเสถียรภาพ และการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง 

คือเมื่ออัตราการเจาะตลาดของรถยนต์พลังงานใหม่เข้าใกล้ระดับร้อยละ 50 เช่นในปัจจุบัน ตลาดจะเปลี่ยนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่วิถีที่มั่นคงยิ่งขึ้นโดยธรรมชาติถือเป็นการเข้าสู่ช่วงที่อุตสาหกรรมมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว

และคาดว่าในปี 2025 นี้ รถยนต์พลังงานใหม่จะมีส่วนแบ่งมากกว่าร้อยละ 55 ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในตลาดจีน 

ยังมีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ขณะที่แบรนด์ระดับนานาชาติเจอกับความท้าทายสำคัญในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ภายในประเทศจีน ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงรักษาตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาดโลกได้ 

และเมื่อมองไปในระยะข้างหน้า หากแบรนด์เหล่านั้น สามารถฟื้นคืนในตลาดจีนได้ การแข่งขันจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตั้งแต่ห้องโดยสาร ไปจนถึงการขับขี่และปี 2025 จะเป็นปีที่สำคัญสำหรับการนำ เอไอ มาใช้ในวงจรชีวิตของยานยนต์อีกด้วย โดยจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอุตสาหกรรม ตั้งแต่การวิจัยและการผลิต ไปจนถึงการขายและบริการหลังการขาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง