รีเซต

SCBห่วงศักยภาพไทยลดลง ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอตัว

SCBห่วงศักยภาพไทยลดลง ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอตัว
ทันหุ้น
30 กันยายน 2568 ( 07:13 )
2

#SCB EIC #ทันหุ้น - SCB EIC มอง GDP ไทยปี 2568 เติบโต 1.8% และมีทิศทางที่จะชะลอตัวลง ชี้การปฏิรูปการคลังเป็นเรื่องสำคัญมากในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ห่วงพ.ร.บ.งบปี 2570 เบิกจ่ายล่าช้า หลังยุบสภารอเลือกตั้ง ทำ GDP หลุด 1% ส่วนมาตรการกระตุ้นระยะสั้น ก็มีแรงขับดันจำกัด 

ดร.ยรรยง  ไทยเจริญ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 อยู่ที่ 1.8% และจะชะลอตัวลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 ถือเป็นประมาณการที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงค่อนข้างมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปีหน้า โดยหากอิง GDP ปีนี้ที่ 1.8% ครึ่งปีแรกเติบโต 3%  

แสดงให้เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตัวเลข GDP โดยเฉลี่ยอาจจะไม่ถึง 1% จึงยังมีความเสี่ยงเรื่อง Technical Recession

@อัตราการว่างงานสูงขึ้น

อัตราการว่างงานของกลุ่มประกันสังคมเริ่มสูงกว่า 2% และมีแนวโน้มสูงขึ้น อัตราการว่างงานของกลุ่มนิสิตที่จบใหม่ (ปริญญาตรี) ขึ้นไปถึงเกือบ 17-18% หากคนรุ่นใหม่มีสัดส่วนไม่มีงานทำสูงอาจทำให้เกิดการสูญเสียทักษะ และอาจผลักดันให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการปรับทักษะในอนาคตและเรื่อง Social Safety

อีกทั้งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น Moody's และ Fitch ได้ปรับลด Outlook ของไทยจาก Stable เป็น Negative  สาเหตุความกังวลมาจากปัญหาหลัก 2 เรื่อง คือ เศรษฐกิจที่ชะลอลงมาก และสถานะทางการคลังที่อ่อนแอลง งบประมาณขาดทุนและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคการคลังมีข้อจำกัด ในระยะสั้นเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะพยุงการบริโภคได้บ้าง

แต่ผลต่อเศรษฐกิจไม่มากเพราะวงเงินไม่สูง หากเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกระทบกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ. งบปี 2570 ส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งการเร่งกลไกการเบิกจ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน เป็นอีกมาตรการที่สำคัญเพื่อประคอง GDP ไม่ให้หลุด 1% คาดว่าจะเริ่มดีขึ้นเมื่อเริ่มต้นงบประมาณปีใหม่ในเดือนตุลาคม

ในส่วนมาตรการกระตุ้นระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งถือเป็นมาตรการที่ดีและควรทำ เพราะสามารถออกมาได้ทันการ เนื่องจากมีการเสียโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากความล่าช้าไปพอสมควรแล้ว ทั้งนี้แม้จะเป็นมาตรการที่ตรงจุดและชั่วคราว แต่ผลกระทบในการขับเคลื่อน GDP โดยรวมค่อนข้างมีจำกัดประมาณ 0.1%

@การปฏิรูปการคลัง

อย่างไรก็ดีการปฏิรูปการคลังเป็นเรื่องสำคัญมากในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับความกังวลของ Credit Rating ต้องมีแผนที่น่าเชื่อถือในการลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และเพิ่มรายได้ภาครัฐ โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในการบริหารจัดการรัฐบาลวาระสั้น

ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ตั้งเป้าที่จะออกและดำเนินมาตรการให้ครบถ้วนในทุกมิติภายใน 4 เดือนแรก หากออกมาตรการต่าง ๆ เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือน กลไกของข้าราชการสามารถดำเนินการตามมาตรการเหล่านั้นต่อไปได้ แม้ในช่วงก่อนการเลือกตั้งและการรอรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้บทบาทของภาครัฐในการเรียกความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริโภค, นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ, นักท่องเที่ยว เป็นเรื่องสำคัญ

ด้านการลงทุนของภาคเอกชนโดยรวมอาจเป็นบวกอ่อนๆ ในปีนี้ แต่การลงทุนส่วนใหญ่มาจากต่างชาติในกลุ่ม Data Center และ Electronic ในขณะที่การลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ในไทยเองมีสัญญาณแผ่วลงหรืออาจลดลง

ทั้งนี้ทิศทางการลงทุน FDI ในไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สอดรับเทรนด์อนาคต ได้แก่ Data Center, PCB , Food for the future และ Biotechnology โดยมีเป้าหมายแหล่งเงินทุน คือ สิงคโปร์ สหรัฐ ไต้หวัน จีน ส่วนอุตสาหกรรมที่ FDI ขยายตัวได้ แต่ชะลอตัวลง  ได้แก่ Semiconductor, ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ โดยมีเป้าหมายแหล่งเงินทุน คือ ญี่ปุ่น สหรัฐ ไต้หวัน จีน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง