วาดรูปขาย อาชีพสำหรับคนสูงอายุ ที่ต้องตกงาน นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน
ผมได้ประกอบอาชีพครั้งแรกที่เป็นหลักเป็นฐานสักหน่อยก็คือได้เป็นพนักงานของเทศบาลนครกรุงเทพฯ (ชื่อเรียกสมัยนั้น)
จากนั้นก็ได้ย้ายไปเป็นช่างควบคุมประปาที่เทศบาลเมืองสมุทรปราการ ก่อนย้ายอีกครั้งไปเป็นหัวหน้าเขตประปาสมุทรปราการ สังกัดการประปานครหลวง
ขณะทำงานหลวง ผมก็หัดเขียนหนังสือจนสามารถมีอาชีพเขียนหนังสือได้อีกอย่างหนึ่งโดยเป็นอาชีพควบคู่ไปกับการทำงานที่การประปานครหลวง
ผมมีงานเขียนมากทั้งเรื่องสั้น เรื่องยาว สารคดีท่องเที่ยวและบทความ แล้วยังได้เขียนประจำเป็นคอลัมนิสต์ ให้กับนิตยสารหลายฉบับ
ผมเขียนหนังสือมากจนแทบแยกไม่ออกว่า อาชีพประจำของผมอยู่ที่การทำงานหลวงหรือเขียนหนังสือกันแน่
จนกระทั่งผมเกษียณจากการประปานครหลวง
เมื่อเกษียณก็เท่ากับผมจะไม่ได้เงินเดือนจากการประปานครหลวงอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน นิตยสารต่างๆ เริ่มทยอยปิดตัวเองลงเรื่อยๆ
จนเหลือหนังสือที่ให้ผมเขียนได้น้อยลง ซึ่งหมายถึงทำให้ผมขาดรายได้ไปมาก เพราะนอกจากไม่ได้มีเงินบำนาญเหมือนข้าราชการแล้ว ผมยังได้เขียนหนังสือน้อยลงด้วยดังกล่าวแล้ว
ผมจึงหันมาทำงานศิลปะด้วยการวาดรูป นอกจากเป็นงานที่ผมรักและชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมยังต้องการชดเชยรายได้ที่หายไปด้วย หมายถึงว่า ผมจะต้องวาดรูปขายเป็นอาชีพให้ได้
เมื่อตั้งใจว่าจะทำงานศิลปะให้เป็นอาชีพ ก่อนอื่นก็ต้องวาดรูปให้ดูแล้วใช้ได้ จนมีคนสนใจอยากจะซื้อไปประดับบ้าน
ถูกแล้ว ถ้าวาดรูปแล้วไม่มีใครอยากได้ อยากซื้อไปเป็นเจ้าของก็เท่ากับทำเป็นอาชีพไม่ได้
ทำได้อย่างเดียว คือ แค่ได้วาดรูปให้สนุกและมีความสุขไปเป็นวันๆ เท่านั้น
การที่จะวาดรูปให้ถึงขนาดเป็นอาชีพได้ จำเป็นจะต้องศึกษาวิธีการวาดของศิลปินที่มีชื่อเสียง
ฉะนั้น เวลามีศิลปินจัดนิทรรศการที่ไหนก็ตาม ผมจะถือโอกาสไปชม
ผมศึกษาจากผลงานของศิลปินแต่ละท่าน แล้วนำมาหัดวาด โดยถือหลักว่า
ไปเรียนรู้แต่จะไม่เลียนแบบ
ที่เป็นเช่นนี้ มีความจริงอยู่ว่า งานศิลปะทุกอย่างเรียนรู้ได้ แต่อย่าเลียนแบบ
หมายถึงว่า ถ้านำมาเลียนแบบ เราจะไม่มีโอกาสเกิดได้เลย เพราะงานศิลปะ ต้องการความแปลกใหม่ และมีตัวตนของศิลปินแต่ละคน
คุณไมตรี ลิมปิชาติ เจ้าของเรื่องราว
ผมพยายามวาดรูปตามแนวถนัดของตัวเอง การใช้สีก็ไม่ได้ใช้หลักตามทฤษฎีของสี แต่ผมจะลงสีตามสีของธรรมชาติ ที่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ เช่น สีของปลาทะเล ปลากัด และนก เป็นต้น
ทว่ากว่าที่ผมจะค้นพบแนวทางวาดรูปของตัวเองได้ต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปีทีเดียว
คนเขียนหนังสือกับคนวาดรูป ถ้าต้องการให้เกิดในวงการได้ มีที่เหมือนกันคือ
ถ้าเป็นนักเขียนจะต้องเอาเรื่องที่เขียนพิมพ์เป็นเล่มให้ได้
นักวาดรูปก็เช่นกัน คือเมื่อวาดแล้วจะต้องนำออกมาแสดง หรือจัดนิทรรศการให้ได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้นำผลงานของตัวเอง จัดนิทรรศการไปแล้วถึง 8 ครั้ง
ครั้งล่าสุด จัดนิทรรศการที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2563
การได้นำผลงานจัดนิทรรศการทำให้นอกจากมีคนไปชมแล้ว ยังทำให้มีสื่อช่วยวิจารณ์และกระจายข่าวให้ด้วย ทำให้มีคนรู้จักผมในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือจากเป็นนักเขียน
คนที่เข้ามาชมผลงาน ถ้าชอบใจก็จะซื้อรูปไปเป็นสมบัติ
ตั้งแต่ผมจัดนิทรรศการผลงานของตัวเองมา ก็พอที่จะจัดได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ วัดจากผลงานพอขายได้ หักลบแล้วได้กำไรนิดหน่อย ไม่ถึงกับขาดทุน
ผลงานศิลปะ
ที่ผลงานของผมพอขายได้ มีทั้งคนที่สนใจงานศิลปะมาซื้อไปประดับบ้าน ประดับสำนักงาน และซื้อไปเพื่อนำไปเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ และที่ถูกผมบังคับขาย คือ เพื่อนๆ ให้ช่วยซื้อก็มีจำนวนหนึ่งด้วย
บางครั้งผมก็จะถือโอกาสแจกก็มี เพราะไม่อยากนำมาเก็บไว้ที่บ้านให้รกทั้งตาและใจ
งานศิลปะของผมนั้นขายได้หลายชิ้นก็จริง แต่ได้ราคาอย่างมากชิ้นละเพียงหลักหมื่นเท่านั้น ขณะที่งานของ ถวัลย์ ดัชนี ขายเพียงรูปเดียวก็ได้เป็นล้าน ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงก็ถือว่าการเขียนรูปของผม พอจะเป็นอาชีพได้ สำหรับคนสูงอายุที่ต้องตกงานนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน
อีกผลงาน
หลังจากผมประกาศผ่านสื่อว่า ผมกำลังมีอาชีพใหม่ด้วยการทำงานศิลปะ ก็ทำให้มีผู้สนใจ มาซื้อถึงบ้านก็มี ซึ่งผมได้จัดเป็นแกลเลอรี่เล็กๆ เพื่อแสดงและเพื่อขายไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว หรือผู้ใดจะสั่งซื้อทางโทรศัพท์ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่ประการใด
ผู้สนใจอยากไปชมผลงานหรือต้องการซื้อไปเป็นสมบัติส่วนตัว ติดต่อกับผมได้ที่ โทร. 089-810-2311
ยินดีต้อนรับครับ