กสิกรไทยปรับลดจีดีพีเหลือ2.6% ครี่งแรกปี68หุ้นไทยดีด1450จุด
#ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #ทันหุ้น – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567โตเพียง 2.6%จากเดิมที่ 2.8% รวมถึงภาครส่งออก ที่คาดว่าโตเพียง 1.5% พร้อมมอง กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 2.50% ตลอดปีนี้ ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาดดัชนีตลาดหุ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2567 – ครึ่งแรกปี 2568 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,280 – 1,450 จุด โดยตั้งแต่ช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2568 ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ราว 11 -12%
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (2H67) ว่า มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี (1H67) ที่ผ่านมา หนุนจากความสามารถในการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณประจำปี 2567 ให้ได้ถึงราว 60% ของวงเงินฯ, การเร่งเบิกจ่ายของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้น สอดคล้องกับความต้องการเร่งสต๊อกสินค้าของคู่ค้าต่างประเทศ
*ครึ่งหลังศก.ขยายตัวดี
“ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียง 1.6% แต่คาดว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะขยายตัวได้ถึง 3.6% หนุนจากการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณภาครัฐ - รัฐวิสาหกิจที่เริ่มเร่งตัวขึ้น การส่งออกที่จะขยายตัวเป็นบวกมากขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำในปี 2566”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีการระบายสินค้าจากกำลังการผลิตส่วนเกินจากจีนมายังตลาดโลกรวมถึงไทย ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมีผลให้ส่งออกไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์
โดยสรุปภาพรวมทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโตเพียง 2.6% จากเดิมที่ 2.8% รวมถึงปรับลดประมาณการการส่งออกโต 1.5% จากเดิมที่ 2%แต่ปรับเพิ่มประมาณการการบริโภคภาคเอกชนเติบโตขึ้นมาที่ 2.9% จากเดิม 2.6% ,การบริโภคภาครัฐเติบโต 1.3% จากเดิมที่ 2.0%
พร้อมกันนี้ คาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 2567ขณะที่ค่าเงินบาทจะมีความผันผวนในทางอ่อนค่าด้วยปัจจัยกดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ (Higher for Longer) แต่ก็ยังต้องติดตามใกล้ชิดโดยเฉพาะผลของสงครามการค้า หากส่งผลกระทบที่รุนแรงก็มีรูมที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจได้
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะให้ภาพแรงส่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าคาด จนตลาดปรับการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ หรือ Higher for Longer นั้น แต่มีประเด็นที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในระยะหลัง
ได้แก่ นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และยุโรปที่กีดกันอุตสาหกรรม Cleantech ของจีนได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์ ซึ่งมองว่าจะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตในภูมิภาคยุโรป อาเซียน และอเมริกาใต้
ขณะที่หากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง กลยุทธ์ของจีนในการกระจายความเสี่ยงทางการค้า อย่างเช่น China+1 ที่ขยายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีทางการค้า ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ ดังนั้นไทยต้องจับกระแสประเด็นการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อภาคอุตสาหกรรมไทยปรับทิศทางได้ทัน
*มองแนวรับ 1280 จุดแข็งแกร่ง
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินทิศทางความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (2H67) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนขาขึ้น โดยมีแนวรับที่ 1,280 จุด หนุนจาก
- การลงทุนภาครัฐบาลที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศสามารถขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (1H67) ที่ผ่านมา
- ความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศก็จะเริ่มคลี่คลายลง รวมถึงอัตรา “กำไรต่อหุ้น” (Earnings Per Share : EPS) เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Earning Yield Gap) มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน
- ตลาดหลักทรัพย์จะเริ่มใช้ Uptick ซึ่งจะชะลอการขายชอร์ต (Short Sell) ลดความผันผวนของดัชนีฯ
- .การเริ่มลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long – Term Equity Fund : LTF) เบื้องต้นคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มเร่งตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,450จุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (1H68)
พร้อมกันนี้แนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจ – การค้าโลกที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง อาทิกลุ่มส่งออกอาหาร อาทิ TU ราคาเหมาะสม 16.90 บาท, อาหารสัตว์ อาทิ AAI ราคาเหมาะสม 6.30 บาท, กลุ่มการแพทย์ อาทิ BDMS ราคาเหมาะสม 33.10 บาท, กลุ่มที่ลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์, รวมถึงกลุ่มหุ้นที่มีรายได้จากต่างประเทศ อาทิ โรงกลั่น เช่น TOP SPRC และกลุ่มเรือ เช่น PSL เป็นต้น