รีเซต

สหรัฐฯอาจถอนตัว COP30 เปิดทาง “จีน” ครองบัลลังก์ ผู้นำโลกด้านสภาพภูมิอากาศ

สหรัฐฯอาจถอนตัว COP30 เปิดทาง “จีน” ครองบัลลังก์ ผู้นำโลกด้านสภาพภูมิอากาศ
TNN ช่อง16
6 สิงหาคม 2568 ( 09:00 )
11

ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่ชุดสุดท้ายของสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่ดูแลด้านการเจรจาสภาพภูมิอากาศ นับเป็นการตอกย้ำจุดยืนของรัฐบาลในการถอนตัวจากความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก และเป็นการปิดสำนักงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกระทรวงการต่างประเทศโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐฯ ในการเข้าร่วมประชุมและเจรจากับนานาชาติ


การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP30 ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นการประชุมที่หลายฝ่ายมองว่าจะกำหนดทิศทางการรับมือโลกร้อนในช่วง 10 ปีข้างหน้า


ผลกระทบจากการไม่มีตัวแทนทางการของสหรัฐฯ เข้าร่วม COP30 นั้นเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว แม้แต่สมาชิกรัฐสภาอเมริกันที่เคยเข้าร่วมการประชุมในอดีตก็ไม่สามารถขอรับรองตัวเพื่อเข้าร่วมการประชุมได้ในครั้งนี้


ด้าน “ฮาร์จีต ซิงห์” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและผู้คร่ำหวอดในเวที COP มองว่าสหรัฐฯ กำลังทอดทิ้งความรับผิดชอบในช่วงเวลาวิกฤต โดยกล่าวว่า “สหรัฐฯ มักใช้วาทกรรมสนับสนุนเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน แต่ในทางปฏิบัติกลับเดินหน้าขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น” พร้อมเตือนว่าการหายไปของสหรัฐฯ จากเวทีสำคัญเช่นนี้อาจสร้าง “สุญญากาศอันตราย” ในการเจรจาระดับโลก

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกังวลว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ อาจกลายเป็นข้ออ้างให้ประเทศร่ำรวยอื่นๆ เช่น ในยุโรป ถอยห่างจากพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มหมดศรัทธาต่อกระบวนการเจรจานี้


 แต่ในอีกด้านหนึ่ง จีนกลับเดินหน้าลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ กลับหันหลังให้กับพลังงานหมุนเวียน และกลับไปเน้นเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างชัดเจน ด้าน ดร.โจเอรี โรเกล นักวิทยาศาสตร์สภาพภูมิอากาศแห่ง Imperial College London กล่าวว่า “เสียงของจีนอาจจะดังกว่าใน COP30” พร้อมเสริมว่า “จีนวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไว้บนการเติบโตของเทคโนโลยีสีเขียว”


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในแถลงการณ์ว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือความท้าทายร่วมของมวลมนุษยชาติ ไม่มีประเทศใดหลีกเลี่ยงได้” แต่คำถามคือ จีนจะทำได้จริงหรือไม่? เพราะถึงแม้ว่าจีนจะประกาศพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย แต่ก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจีนจะตั้งเป้าลดมลพิษแค่ไหน โดยก่อนหน้านี้ จีนเคยกำหนดให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงจุดสูงสุด “ประมาณปี 2030” แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า จีนอาจบรรลุเป้าหมายนี้เร็วกว่ากำหนดถึง 5 ปี และปริมาณมลพิษกำลังเริ่มลดลง

นักวิเคราะห์บางรายคาดว่า จีนอาจเสนอเป้าหมายใหม่ที่ไม่ทะเยอทะยานนัก เช่น ลดการปล่อยก๊าซเพียงเลขหลักเดียวหรือเลขสองหลักต้นๆ ภายในปี 2035 ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับข้อเสนอของรัฐบาลไบเดน ที่เคยเสนอให้สหรัฐฯ ลดการปล่อยก๊าซลง 61–66% จากระดับปี 2005


ปัจจุบัน จีนมีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่กำลังก่อสร้างรวมกันกว่า 510 กิกะวัตต์ และมีพลังงานสะอาดใช้งานอยู่แล้วกว่า 1,400 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของจีนคือการยังคงพึ่งพาถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษสูงที่สุด “จีนยังคงสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในระดับเดียวกับที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสหรัฐฯ ทุกๆ ห้าปี” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว


“ฮาร์จีต ซิงห์” สรุปว่า การถอนตัวของสหรัฐฯ อาจเปิดโอกาสให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก ขณะเดียวกันก็ช่วยลดแรงกดดันที่จีนจะต้องเปลี่ยนผ่านออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเร็ว และสหรัฐฯ ที่เคยเป็นตัวผลักดันให้จีนตั้งเป้าสูง ๆ อาจไม่มีบทบาทนั้นอีกต่อไปในเวที COP30 และทิ้งเวทีเจรจาไว้ในมือของจีนเพียงลำพังในช่วงเวลาที่โลกต้องการผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง