รีเซต

โลกกำลังหลงทางเรื่องสู้โลกร้อน พลังงานสะอาดโตเร็วก็จริง แต่การใช้ถ่านหินก็พุ่งทุบสถิติ!

โลกกำลังหลงทางเรื่องสู้โลกร้อน พลังงานสะอาดโตเร็วก็จริง แต่การใช้ถ่านหินก็พุ่งทุบสถิติ!
TNN ช่อง16
27 ตุลาคม 2568 ( 12:00 )
4

รายงาน State of Climate Action ประจำปี 2568 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ระบุว่า การใช้ถ่านหินทั่วโลกในปี 2567 เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินจะลดลงเพราะพลังงานหมุนเวียนขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ปริมาณการใช้ถ่านหินในภาพรวมกลับมาเพิ่มขึ้น

รายงานฉบับนี้สะท้อนภาพที่น่ากังวลของความพยายามทั่วโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะชะลอตัวลงจากช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม ด้าน “เคลีย ชูเมอร์” นักวิจัยจากสถาบันวิจัยทรัพยากรโลก (World Resources Institute – WRI) ผู้นำจัดทำรายงาน กล่าวว่า “โลกกำลังเดินมาถูกทางในหลายด้าน แต่เรายังเคลื่อนไหวช้าเกินไป โดยเฉพาะในเรื่องการยุติการใช้ถ่านหิน ซึ่งตกขบวนต่อเนื่องมาถึง 5 ฉบับติดต่อกันของรายงานชุดนี้”

เธอกล่าวว่า หากโลกต้องการบรรลุเป้าหมาย “การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593” เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน ก๊าซ และเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น ๆ ซึ่งจะได้ผลก็ต่อเมื่อไฟฟ้านั้นมาจากแหล่งพลังงานสะอาด “ข้อความในรายงานนี้ชัดเจนมาก เราไม่มีทางจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาได้ หากการใช้ถ่านหินยังทำลายสถิติสูงสุดต่อไป” ชูเมอร์กล่าว

แม้ประเทศต่าง ๆ จะให้คำมั่นว่าจะ “ลดการใช้ถ่านหินลง” ตั้งแต่ปี 2564 แต่บางประเทศยังเดินหน้าผลิตและใช้ถ่านหินในปริมาณสูง เช่น อินเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้เฉลิมฉลองการผลิตถ่านหินทะลุ 1 พันล้านตันในปีนี้ ขณะที่ในสหรัฐฯ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงสนับสนุนถ่านหินและพลังงานฟอสซิล

รายงานเตือนว่า ความพยายามของทรัมป์ในการระงับโครงการพลังงานหมุนเวียนและตัดงบสนับสนุนพลังงานสะอาดอาจส่งผลกระทบในระยะยาว แม้ผลลัพธ์ยังไม่ปรากฏชัดในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่น ๆ เช่น จีนและสหภาพยุโรป อาจช่วยลดผลกระทบได้ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง

ในมุมที่ดีของรายงานคือ การผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเติบโต “อย่างก้าวกระโดด” โดยพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการขนานนามว่าเป็น “แหล่งพลังงานที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” แต่รายงานระบุว่า อัตราการเติบโตของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ยังต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อให้โลกสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้าหมาย

ด้าน “โซฟี เบิม” หัวหน้านักวิจัยของโครงการ Systems Change Lab ภายใต้ WRI กล่าวว่า “แม้การโจมตีพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ จะทำให้เป้าหมายข้อตกลงปารีสเข้าถึงยากขึ้น แต่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดกำลังขยายตัวในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่พลังงานสะอาดกลายเป็นทางเลือกที่ถูกและมั่นคงที่สุดสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน”

รายงานยังระบุว่า โลกยังเดินหน้าได้ช้าในการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน โดยเฉพาะในภาคอาคารที่ยังปล่อยคาร์บอนสูงจากระบบทำความร้อน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก กลับมี “ความเข้มข้นของคาร์บอน” เพิ่มขึ้นในบางประเทศ แม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีลดคาร์บอนก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ภาคขนส่งทางถนนมีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2567 รถยนต์ใหม่ที่ขายทั่วโลกมากกว่า 20% เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และในจีน ตัวเลขดังกล่าวสูงเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนถึงสถานการณ์ของ “หลุมดูดซับคาร์บอนธรรมชาติ” เช่น ป่าไม้ และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งยังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 มีพื้นที่ป่าถูกทำลายถาวรกว่า 8 ล้านเฮกตาร์ (ราว 50 ล้านไร่) แม้จะน้อยกว่าจุดสูงสุดในปี 2560 ที่ 11 ล้านเฮกตาร์ แต่ก็ยังมากกว่าปี 2564 โดยรายงานระบุว่า โลกต้องเร่งความพยายาม “หยุดการตัดไม้ทำลายป่าให้เร็วขึ้นถึง 9 เท่า” จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจะประชุมกันในเดือนพฤศจิกายนนี้ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ในการประชุม COP30 เพื่อหารือแนวทางรักษาอุณหภูมิโลกให้อยู่ในกรอบ 1.5 องศา ตามข้อตกลงปารีสปี 2558 แต่รายงานเตือนว่า แผนลดการปล่อยคาร์บอนของแต่ละประเทศ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่เพียงพอ และคำถามสำคัญคือ “โลกจะตอบสนองอย่างไร” เพื่อให้เป้าหมายไม่หลุดลอยไปอีกครั้ง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง