“คนละครึ่งพลัส” ทำสถิติใหม่ รัฐไทยปลุกกระแสลงทะเบียนเร็วสุดในประวัติศาสตร์

ปรากฏการณ์เช้าวันที่ 20 ตุลาคม

เช้าวันเปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งพลัส” กลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งประเทศจับตา กระทรวงการคลังเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และใน 30 นาทีแรก มีผู้ลงทะเบียนสำเร็จ 5 ล้านคน ตามข้อมูลจากธนาคารกรุงไทย

ภายในเวลา 7.40 น. จำนวนผู้ลงทะเบียนแตะ 12.5 ล้านสิทธิ ก่อนจะพุ่งขึ้น 15 ล้านสิทธิในเวลา 08.25 น. เหลือเพียง 5 ล้านสิทธิสุดท้ายจากทั้งหมด 20 ล้านสิทธิภายในไม่ถึงสามชั่วโมง ถือเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโครงการภาครัฐ

ปลัดกระทรวงการคลัง ลวรณ แสงสนิท ระบุว่า “ยอดลงทะเบียนเกินคาดอย่างมาก” พร้อมย้ำว่าสิทธิอาจเต็มภายในวันเดียว จากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลาราวสามวัน

เทคโนโลยีภาครัฐกับภาระการรองรับสูงสุด

ระบบ “เป๋าตัง” ต้องรับมือกับการเข้าใช้งานจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลทางเทคนิคจากกรุงไทยระบุว่า แพลตฟอร์มสามารถรองรับคำขอพร้อมกันได้ถึง 300,000 รายการต่อวินาที ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มมีโครงการดิจิทัลของรัฐไทย

แม้ในช่วงต้นมีผู้ใช้บางส่วนรายงานปัญหาแอปค้าง โดยเฉพาะโทรศัพท์รุ่นเก่า แต่โดยภาพรวมระบบทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ ถือเป็นพัฒนาการสำคัญของบริการภาครัฐผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล

กระแสสังคมออนไลน์และเสียงจากประชาชน

บนแพลตฟอร์ม X (Twitter) และเฟซบุ๊ก แฮชแท็ก #คนละครึ่งพลัส และ #เป๋าตัง ขึ้นอันดับเทรนด์ตั้งแต่เช้าตรู่ มีทั้งข้อความแสดงความพอใจที่ลงทะเบียนได้รวดเร็ว และบางส่วนรายงานการขัดข้องช่วงชั่วโมงแรก

โฆษกรัฐบาลให้ข้อมูลว่า ผู้ที่ขึ้นสถานะ “รอผลการลงทะเบียน” ยังถือว่ามีสิทธิในระบบแล้ว โดยจะได้รับ SMS ยืนยันภายในสามวัน เพื่อความมั่นใจในการเข้าร่วมโครงการ

ท่าทีรัฐบาลและแนวโน้มในอนาคต

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวภายหลังติดตามสถานการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า “การตอบรับในวันนี้เป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจฐานราก” พร้อมระบุว่าอาจพิจารณาขยาย “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” หากผลการใช้สิทธิแสดงให้เห็นว่ามาตรการนี้ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้จริง

บทสรุปของวันแห่งสถิติ

ข้อมูลทั้งหมดชี้ให้เห็นถึงพลังการตอบรับของประชาชนต่อโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่สามารถทำสถิติ 5 ล้านสิทธิใน 30 นาทีแรก และ เกือบเต็ม 20 ล้านสิทธิในไม่ถึงสามชั่วโมง

การดำเนินงานในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของระบบบริการภาครัฐที่สามารถรองรับปริมาณการใช้งานระดับสูงสุดได้อย่างมั่นคงในปี 2568