“บุหรี่ไฟฟ้า Gen6” ลวงตา–ล้ำรูปแบบ เส้นทางลักลอบจากชายแดนถึงมือเยาวชน

จากคำสั่งนายกฯ สู่ “มงกุฎครอบ” ชายขอบเมืองกรุง
แม้รัฐบาลไทยจะประกาศนโยบายชัดเจนในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า และหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายแห่งได้เปิดปฏิบัติการตรวจยึด-จับกุมอย่างต่อเนื่อง แต่ในความจริงกลับพบว่า “สงครามบุหรี่ไฟฟ้า” ยังห่างไกลจากชัยชนะ
ล่าสุด นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลว่า ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับ “2-3 ดาว” ซึ่งสังกัดในพื้นที่ชายขอบของกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลบางแห่ง มีพฤติกรรม “นิ่งเฉย” หรือแม้แต่ “เคลียร์ผู้ใหญ่” เพื่อให้เครือข่ายค้ายาเสพติดประเภทบุหรี่ไฟฟ้ายังสามารถดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายได้ต่อไป
เส้นทางใต้ดิน จากพรมแดนสู่ตลาดมืด
แหล่งข่าวจากหน่วยข่าวความมั่นคงรายงานตรงกันว่า ช่องทางลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายังคงกระจายอยู่ตามด่านชายแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งติดกับประเทศเพื่อนบ้าน บางครั้งสินค้าถูกขนผ่านช่องทางธรรมชาติด้วยกลุ่มลักลอบที่ใช้เส้นทางเดิมของการค้าสารเสพติด
เมื่อเข้าสู่ประเทศไทย สินค้าจะถูกจัดเก็บไว้ในโกดังชั่วคราวในจังหวัดชายแดน ก่อนจะถูกกระจายเข้าสู่พื้นที่ชั้นในผ่าน “ขบวนการโลจิสติกส์เถื่อน” ทั้งในรูปแบบรถยนต์ส่วนตัว พัสดุเก็บซ่อนไม่ระบุตัวผู้รับ และบางกรณีใช้ระบบไปรษณีย์ในประเทศ
ตลาดปรับตัว–สินค้าพัฒนา ยุคใหม่ของบุหรี่ Gen6 “พอดจมูก”
สิ่งที่น่าตกใจกว่าการลักลอบนำเข้า คือการวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ “บุหรี่ไฟฟ้า” ที่พัฒนารูปแบบไปจนยากจะตรวจสอบ ล่าสุดพบว่า “บุหรี่ Gen6” หรือ “พอดจมูก” (Nose Pod) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เยาวชน ด้วยรูปลักษณ์คล้ายยาดม สายคล้องคอ และกลิ่นรสที่หอมหวาน
บุหรี่ชนิดใหม่นี้สามารถสูบได้ทางจมูก (แทนปาก) หรือบางรุ่นปรับเปลี่ยนหัวสูบให้ใช้ได้ทั้งสองทาง โดยตัวอุปกรณ์เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง หรือชาร์จซ้ำได้ มีนิโคตินในปริมาณสูงถึง 5% ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันว่า แม้จะเปลี่ยนทางสูบ แต่นิโคตินยังคงก่อการเสพติด ทำร้ายระบบทางเดินหายใจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบรุนแรงเช่นเดิม
แหล่งจำหน่ายเปลี่ยนหน้า–แต่ยังเติบโต
จากมาตรการปราบปรามของรัฐ ส่งผลให้ร้านค้าที่เคยวางขายบุหรี่ไฟฟ้าแบบโจ่งแจ้งต้องปิดตัวลง แต่ตลาดกลับปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยอาศัย “ไดเรกต์เซลล์” หรือการขายตรงจากคนขายสู่คนซื้อผ่านโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มแชตเข้ารหัส และการนัดส่งแบบตัวต่อตัว
มีรายงานว่า กลุ่มลูกค้าหลักเปลี่ยนจากวัยทำงานไปเป็นเยาวชนระดับมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในเขตเมือง ซึ่งถูกดึงดูดด้วยการตลาดลวงตา รูปลักษณ์น่ารัก และคำโฆษณาที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า “ปลอดภัยกว่า”
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เจ้าหน้าที่ระดับสูงรู้เห็นหรือไม่?
แม้รัฐบาลจะสั่งการชัดเจนให้กวาดล้างผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ แต่นายจิรายุกล่าวว่า ยังมี “บางพื้นที่” โดยเฉพาะรอบกรุงเทพฯ ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระดับสูงมีพฤติกรรมเพิกเฉย หรือถูกกล่าวอ้างว่า “เคลียร์ผู้ใหญ่แล้ว”
คำถามจึงย้อนกลับไปยังระบบราชการ: หน่วยงานตรวจสอบและนำเข้าชายแดนดำเนินการจริงจังเพียงใด? เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถอ้างความไม่รู้ได้อีกหรือไม่? และที่สำคัญ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มกลับกลายเป็น “ตัวแปรต้านรัฐ” รัฐบาลจะตอบสนองอย่างไร?
สัญญาณเตือนจากภาครัฐ และบทเรียนของสังคม
รัฐบาลย้ำว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในทุกรูปแบบยังเป็น “สิ่งผิดกฎหมาย” และต้องเร่งปราบปรามอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ารุ่นใหม่อย่าง “พอดจมูก” ที่กำลังระบาดในหมู่เยาวชน ขณะเดียวกัน ครอบครัว สถานศึกษา และสื่อมวลชน ต้องทำงานเชิงรุกควบคู่ไปกับรัฐ
หากสังคมยังเพิกเฉยต่อผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ถูกออกแบบมาให้ “ดูไม่เหมือนยาสูบ” เด็กและเยาวชนไทยจะกลายเป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมเถื่อนที่ไร้จรรยาบรรณ ซึ่งพร้อมจะเปลี่ยนทุกช่องว่างในกฎหมายให้เป็นตลาดมืดใหม่