น้ำปี 68 ไม่ซ้ำรอยปี 54 วิเคราะห์เชิงสถิติ “ประเทศไทยพร้อมรับมือมากขึ้น”

ปี 2568 เป็นอีกปีที่ประเทศไทยต้องรับมือกับฝนตกหนักต่อเนื่องและพายุเข้า 5 ลูก เท่ากับช่วงมหาอุทกภัยปี 2554 หลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคกลางเกิดน้ำท่วมขัง แต่เมื่อดูจากตัวเลขและข้อมูลเชิงระบบ จะเห็นได้ว่าความเสียหายและผลกระทบโดยรวมอยู่ในระดับควบคุมได้ ไม่รุนแรงถึงขั้นวิกฤตเหมือนในอดีต
ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ระหว่างวันที่ 6–7 ตุลาคม 2568 มีน้ำท่วมใน 17–19 จังหวัด เช่น อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ และอยุธยา มีประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 108,000–369,000 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิตราว 15–22 ราย ในขณะที่ปี 2554 เคยเกิดน้ำท่วมกว่า 65 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตมากถึง 813 ราย และมีประชาชนเดือดร้อนกว่า 12 ล้านคน ความแตกต่างของตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ปีนี้ เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งต่ำกว่าปี 2554 ที่ระบายสูงสุดถึง 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที การระบายที่ลดระดับลงได้โดยไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ แสดงถึงความสามารถในการควบคุมการไหลของน้ำและการวางแผนเชิงพื้นที่ที่แม่นยำขึ้น การบริหารจัดการระหว่างเขื่อนหลักกับลุ่มน้ำสาขามีการประสานข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ลดความเสี่ยงจากน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังเหตุการณ์ปี 2554 รัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำอย่างต่อเนื่องกว่า 50 โครงการ ทั้งการขุดลอกคลอง การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง และการจัดตั้งพื้นที่รับน้ำชั่วคราวกว่า 240,000 ไร่ รวมถึงคันกั้นน้ำในนิคมอุตสาหกรรมที่ขยายเพิ่มอีกกว่า 70 กิโลเมตร โครงสร้างเหล่านี้ทำให้การกระจายน้ำและหน่วงน้ำทำได้ดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา
ศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติรายงานว่า การใช้เทคโนโลยีติดตามน้ำแบบเรียลไทม์ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ได้กว่า 80% หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจเปิดประตูระบายน้ำ หรือประกาศเตือนภัยล่วงหน้าได้ทันท่วงที ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในหลายจังหวัด นอกจากนี้ ระบบสื่อสารออนไลน์ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลระดับน้ำและฝนในพื้นที่แบบทันเวลา
ด้านปริมาณฝน กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าฝนเฉลี่ยทั่วประเทศในปีนี้ต่ำกว่าปี 2554 ประมาณ 18–20% แม้มีพายุเท่ากันแต่ฝนตกกระจายมากกว่า ไม่ก่อให้เกิดการสะสมในลุ่มน้ำเดียวเป็นเวลานานเหมือนในอดีต ปัจจัยนี้ทำให้พื้นที่ตอนล่างของเจ้าพระยา โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ไม่เกิดน้ำล้นตลิ่งในระดับวิกฤต
มูลค่าความเสียหายจากน้ำปี 2568 ยังอยู่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่สร้างความเสียหายสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท ความแตกต่างอย่างมากนี้มาจากการวางแผนเชิงรุกและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานกลางกับท้องถิ่น ทั้งในด้านการระบายน้ำ การเตือนภัย และการช่วยเหลือประชาชนหลังน้ำลด
แม้สถานการณ์โดยรวมอยู่ในระดับควบคุมได้ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเน้นการเฝ้าระวัง โดยเฉพาะช่วงน้ำทะเลหนุนระหว่างวันที่ 9–13 ตุลาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อการระบายน้ำลงทะเล การติดตามข้อมูลน้ำแบบรายวันและการเตรียมพร้อมในพื้นที่เสี่ยงจึงยังเป็นสิ่งจำเป็น
เมื่อพิจารณาภาพรวมของปี 2568 ประเทศไทยมีศักยภาพในการจัดการน้ำที่เข้มแข็งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การใช้ข้อมูลเรียลไทม์ และการบริหารเชิงบูรณาการ ทำให้ผลกระทบจากฝนและพายุถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตที่รับมือได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
