หวั่นไทยถูกหั่นเครดิต กูรูเปิดสูตรเร่งกอบกู้

#อันดับเครดิต #ทันหุ้น – อดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. เตือนไทยมีความเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิต หลังหนี้สาธารณะพุ่งสูง เศรษฐกิจต่ำ เทียบชั้นกลุ่มเรตติ้งต่ำกว่า แนะเร่งกอบกู้สถานการณ์ ประกาศแผนลดหนี้สาธารณะให้ชัดเจน พร้อมเร่งจีดีพีไม่ต่ำ 2.5% แนะต้องใช้เงินให้คุ้ม เน้นแจกงานดีกว่า หนุนลงทุน ท่าเรือเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน ชี้เป็นจุดเริ่มต้นของศูนย์กลางการค้า และการเงิน
ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตประเทศลงจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ BBB+ หลังสถาบันจัดอันดับเครดิตได้ปรับมุมมองเป็น Negative Outlook หรือมุมมองในเชิงลบ โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงคือ 1. ปัญหาหนี้สาธารณะและขาดดุลต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีปัญหาหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูง จากการที่ไทยทำงบประมาณขาดดุลมายาวนานติดต่อกันมากกว่า 10 ปี ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะรวมกันมากกว่า 12 ล้านล้านบาท ราว 65% ของจีดีพี ซึ่งสัดส่วนหนี้ระดับนี้ใกล้เคียงกับประเทศที่ได้รับเครดิตต่ำกว่าไทย คือ กลุ่ม BBB
นอกจากนี้ไทยยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยขณะนี้อยู่ต่ำมาก คาดการณ์ทั้งปี 2568 การเติบโตของเศรษฐกิจอาจเหลือประมาณ 2.2% ทั้งๆ ที่ประเทศที่อันดับเครดิตต่ำกว่าไทย เช่น กลุ่มเรตติ้ง BBB ในภูมิภาคมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทยอยู่ที่ประมาณ 2.6%
@ เร่งแก้ก่อนสาย
ดร.วรพล กล่าวว่า หากไทยถูกลดอันดับเครดิตลงเหลือ BBB จะส่งผลให้ ต้นทุนในการระดมเงิน หรือการกู้ยืมเงินของประเทศจะแพงขึ้น ตามเครดิตที่แย่ลง ซึ่งจะกระทบไปทั้งระบบ แม้แต่ภาคเอกชนก็จะมีภาระต้นทุนที่แพงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะเร่งด่วนเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ประกอบด้วย การประกาศแผนลดหนี้สาธารณะที่ชัดเจน โดยต้องมีการวางแผนและกรอบที่ชัดเจนถึงแนวทางและยุทธศาสตร์ในการปรับลดหนี้สาธารณะลงให้ได้ในเวลาอันไม่นานนัก โดยต้องมีแผนการที่แสดงให้เห็นประจักษ์ว่าจะปรับปรุงหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี ข้างหน้าได้อย่างไร พร้อมทั้งพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศมี วินัยทางการคลังและการเงินด้วย
ขณะเดียวกันต้องเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตในระดับ ไม่ต่ำกว่า 2.5% และให้ได้ถึง 3% ยิ่งดี โดยรัฐบาลต้องเป็นผู้นำธงในการขับเคลื่อนนี้ โดยใช้เงินทุกบาทในการลงทุนในโครงการที่ก่อให้เกิดการฟื้นตัวและการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด
@ ลงทุนเชื่อม 2 ทะเล
โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รัฐบาลควรลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ และสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้มาร่วมลงทุนด้วย ยกตัวอย่างโครงการที่ควรทำ คือ การใช้ประโยชน์จากจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบของการอยู่กึ่งกลางของ 2 มหาสมุทร โดยการพัฒนา ท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตก บริเวณระนองและชุมพร เพื่อเชื่อมสองฟากทะเลเข้าด้วยกัน (One Port Two Seas) เพราะท่าเรือถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของอุตสาหกรรม รวมถึงโอกาสของการเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก และศูนย์กลางทางการเงินซึ่ง ทั้งฮ่องกง และสิงคโปร์ ต่างก็ใช้แนวทางนี้
โดยต้องมีการเชื่อม 2 ฟากทั้งทางถนน รถไฟขนส่ง ตลอดจนทางท่อ นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนาระบบทั้งหมดให้ทันสมัยพร้อมกันด้วย ได้แก่ ระบบซอฟต์แวร์, ระบบศุลกากร, และระบบปฏิบัติการทั้งหมด การดำเนินการดังกล่าวสามารถแบ่งเป็น เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 ได้โดยไม่ยาก
@ แจกงาน-แจกความรู้
ส่วนการแจกเงินคนละครึ่งพลัสนั้น รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงร้านค้าและบริษัททั้งหลายให้มีความพร้อม โดยต้องยกระดับผู้ผลิตและผู้ซัพพลายให้มีระบบข้อมูล ระบบ Point of Sale (POS) ระบบดิจิทัล และระบบการโอนชำระเงินที่ทันสมัย ปัจจุบันมีนิติบุคคลหรือร้านค้ารายย่อยที่ลงทะเบียนเพียง 3 แสนราย ซึ่งน้อยไป รัฐบาลมีเป้าหมายที่ควรได้ถึง 9 แสน ถึง 1 ล้านราย การยกระดับธุรกิจเหล่านี้จะช่วยขยายฐานผู้เสียภาษีและสร้างโอกาสในการทำเครดิตสกอริงได้ด้วย
ดร.วรพล กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรเน้นนโยบาย “แจกงาน” รวมถึงการ “แจกความรู้” มากกว่า “แจกเงิน” โดยเริ่มร่วมมือกับภาคเอกชนและภาควิชาการ เพื่อพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับยุคต่อไป ซึ่งมีประมาณ 20 ทักษะ หรือ อาจจะลดลงเหลือ 10 ทักษะ โดยให้บริษัท บุคลากรทั้งหลายไปเรียนรู้ได้ ฟรี ซึ่งการ “แจกงาน” ก็คือการลงทุน สร้างงาน พร้อม แจกความรู้ เมื่อมีการจ้างงานและคนมีรายได้ ภาระหนี้สินก็จะเบาลง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
