รีเซต

หวั่นไทยถูกหั่นเครดิต กูรูเปิดสูตรเร่งกอบกู้

หวั่นไทยถูกหั่นเครดิต กูรูเปิดสูตรเร่งกอบกู้
ทันหุ้น
31 ตุลาคม 2568 ( 01:50 )
29

#อันดับเครดิต  #ทันหุ้น – อดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. เตือนไทยมีความเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิต หลังหนี้สาธารณะพุ่งสูง เศรษฐกิจต่ำ เทียบชั้นกลุ่มเรตติ้งต่ำกว่า แนะเร่งกอบกู้สถานการณ์ ประกาศแผนลดหนี้สาธารณะให้ชัดเจน พร้อมเร่งจีดีพีไม่ต่ำ 2.5% แนะต้องใช้เงินให้คุ้ม เน้นแจกงานดีกว่า หนุนลงทุน ท่าเรือเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน ชี้เป็นจุดเริ่มต้นของศูนย์กลางการค้า และการเงิน

            ดร.วรพล  โสคติยานุรักษ์  ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตประเทศลงจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ BBB+ หลังสถาบันจัดอันดับเครดิตได้ปรับมุมมองเป็น Negative Outlook หรือมุมมองในเชิงลบ โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงคือ 1. ปัญหาหนี้สาธารณะและขาดดุลต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีปัญหาหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูง จากการที่ไทยทำงบประมาณขาดดุลมายาวนานติดต่อกันมากกว่า 10 ปี ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะรวมกันมากกว่า 12 ล้านล้านบาท ราว 65% ของจีดีพี ซึ่งสัดส่วนหนี้ระดับนี้ใกล้เคียงกับประเทศที่ได้รับเครดิตต่ำกว่าไทย คือ กลุ่ม BBB

            นอกจากนี้ไทยยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยขณะนี้อยู่ต่ำมาก คาดการณ์ทั้งปี 2568 การเติบโตของเศรษฐกิจอาจเหลือประมาณ 2.2% ทั้งๆ ที่ประเทศที่อันดับเครดิตต่ำกว่าไทย เช่น กลุ่มเรตติ้ง BBB ในภูมิภาคมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทยอยู่ที่ประมาณ 2.6%

@ เร่งแก้ก่อนสาย

            ดร.วรพล กล่าวว่า หากไทยถูกลดอันดับเครดิตลงเหลือ BBB จะส่งผลให้ ต้นทุนในการระดมเงิน หรือการกู้ยืมเงินของประเทศจะแพงขึ้น ตามเครดิตที่แย่ลง ซึ่งจะกระทบไปทั้งระบบ แม้แต่ภาคเอกชนก็จะมีภาระต้นทุนที่แพงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะเร่งด่วนเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ประกอบด้วย การประกาศแผนลดหนี้สาธารณะที่ชัดเจน โดยต้องมีการวางแผนและกรอบที่ชัดเจนถึงแนวทางและยุทธศาสตร์ในการปรับลดหนี้สาธารณะลงให้ได้ในเวลาอันไม่นานนัก โดยต้องมีแผนการที่แสดงให้เห็นประจักษ์ว่าจะปรับปรุงหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี ข้างหน้าได้อย่างไร พร้อมทั้งพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศมี วินัยทางการคลังและการเงินด้วย

            ขณะเดียวกันต้องเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตในระดับ ไม่ต่ำกว่า 2.5% และให้ได้ถึง 3% ยิ่งดี โดยรัฐบาลต้องเป็นผู้นำธงในการขับเคลื่อนนี้ โดยใช้เงินทุกบาทในการลงทุนในโครงการที่ก่อให้เกิดการฟื้นตัวและการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด

@ ลงทุนเชื่อม 2 ทะเล

            โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รัฐบาลควรลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ และสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้มาร่วมลงทุนด้วย ยกตัวอย่างโครงการที่ควรทำ คือ การใช้ประโยชน์จากจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบของการอยู่กึ่งกลางของ 2 มหาสมุทร โดยการพัฒนา ท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตก บริเวณระนองและชุมพร เพื่อเชื่อมสองฟากทะเลเข้าด้วยกัน (One Port Two Seas) เพราะท่าเรือถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของอุตสาหกรรม รวมถึงโอกาสของการเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก และศูนย์กลางทางการเงินซึ่ง ทั้งฮ่องกง และสิงคโปร์ ต่างก็ใช้แนวทางนี้

            โดยต้องมีการเชื่อม 2 ฟากทั้งทางถนน รถไฟขนส่ง ตลอดจนทางท่อ นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนาระบบทั้งหมดให้ทันสมัยพร้อมกันด้วย ได้แก่ ระบบซอฟต์แวร์, ระบบศุลกากร, และระบบปฏิบัติการทั้งหมด การดำเนินการดังกล่าวสามารถแบ่งเป็น เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 ได้โดยไม่ยาก

@ แจกงาน-แจกความรู้

            ส่วนการแจกเงินคนละครึ่งพลัสนั้น รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงร้านค้าและบริษัททั้งหลายให้มีความพร้อม โดยต้องยกระดับผู้ผลิตและผู้ซัพพลายให้มีระบบข้อมูล ระบบ Point of Sale (POS) ระบบดิจิทัล และระบบการโอนชำระเงินที่ทันสมัย ปัจจุบันมีนิติบุคคลหรือร้านค้ารายย่อยที่ลงทะเบียนเพียง 3 แสนราย ซึ่งน้อยไป รัฐบาลมีเป้าหมายที่ควรได้ถึง 9 แสน ถึง 1 ล้านราย การยกระดับธุรกิจเหล่านี้จะช่วยขยายฐานผู้เสียภาษีและสร้างโอกาสในการทำเครดิตสกอริงได้ด้วย

            ดร.วรพล  กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรเน้นนโยบาย “แจกงาน” รวมถึงการ “แจกความรู้” มากกว่า “แจกเงิน” โดยเริ่มร่วมมือกับภาคเอกชนและภาควิชาการ เพื่อพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับยุคต่อไป ซึ่งมีประมาณ 20 ทักษะ หรือ อาจจะลดลงเหลือ 10 ทักษะ โดยให้บริษัท บุคลากรทั้งหลายไปเรียนรู้ได้ ฟรี ซึ่งการ “แจกงาน” ก็คือการลงทุน สร้างงาน พร้อม แจกความรู้ เมื่อมีการจ้างงานและคนมีรายได้ ภาระหนี้สินก็จะเบาลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง