“BKA” จ่อระดมทุน mai ขาย IPO ต่อยอดธุรกิจ สร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech”
#ทันหุ้น - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA โชว์วิสัยทัศน์ตอกย้ำ “เป็นผู้นำในธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ในประเทศไทย” พร้อมแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จ่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ หวังดึงเงินต่อยอดธุรกิจ มุ่งสู่ นวัตกรรม AI และ Virtual Reality สร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech” มิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์
นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ชั้นนำของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำในธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสอง และ ทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ในประเทศไทย”โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุม ในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการแก้ปัญหาของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีเวลา และไม่มีประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีสภาพพร้อมขาย ขณะเดียวกันต้องการช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี แต่มีงบประมาณจำกัด เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย ผ่านลักษณะการดำเนินงาน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
1. ธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานปรับปรุงที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย
2. ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม โดยบ้านที่เจ้าของนำมาฝากให้บริษัทฯ ดูแลบริการด้านการตลาดและขาย โดยบริษัทฯ ไม่ได้เข้าไปปรับปรุงทรัพย์สินดังกล่าว
3. ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยบริษัทฯ รับซื้อบ้านจากเจ้าของบ้านที่ต้องการขาย หรือสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินรอการขาย รวมถึงซื้อบ้านจากการประมูลกับกรมบังคับคดี เพื่อนำมาปรับปรุงหรือรีโนเวทใหม่ และทำการตลาด เพื่อขายต่อให้แก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านพร้อมทั้ง ชู 5 จุดเด่นข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ
ได้แก่ 1. บ้านมือสองมีความได้เปรียบกว่า บ้านสร้างใหม่ ทั้งในด้านทำเล และราคาที่คุ้มค่ากว่า จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน 2. ด้วย Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping)ที่แข็งแกร่ง เพียงแค่วางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลังทำให้สามารถประหยัดเงินลงทุนไปได้มาก แต่ยังให้ผลตอบแทนสูง 3. ตลาดบ้านมือสองมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งสถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA)ในระบบอีกจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นบ้านมือสองที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี และราคาถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน
4. BKA จัดได้ว่าเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมากในตลาด และยังมีการให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus โครงการใดโครงการหนึ่งเป็นหลัก และ 5. ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี อีกทั้งมี Websiteที่ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบ้านมือสองในทุกทำเล และยังมีเครือข่าย Agent ที่สามารถอำนวยความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยสนับสนุนการขาย และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทฯ และด้วยศักยภาพและจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,304.94 ล้านบาท 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 870.03 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 49.77 ล้านบาท 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 27.64 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.81 ร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.18 ในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสองเชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง
ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น
ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาที่คุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯ เน้นการทำธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด) อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโต และยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน นายพชร กล่าว่า บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน
นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัท ที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
โดยปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้