2 โบรกฯ ส่องหุ้นรับผลกระทบ จากปาฐกถาพิเศษของ "ทักษิณ"
#ทันหุ้น - บล.ดาโอ ระบุ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ "Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market" ในคืนวันที่ 13 ม.ค.2568 โดยเนื้อหาครอบคลุมในหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องการผลักดันตลาดทุนไทย (Trust, Transparent, Confident, Sentiment), ธุรกิจที่ควรได้รับการส่งเสริม (Data center, AI, Biotechnology, Entertainment complex), ค่าครองชีพ (ค่าไฟฟ้า, ค่าโดยสาร) ตลอดจนการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ (Global minimum tax, VAT, Negative income tax) และอื่นๆ โดยคาดหวังการเติบโตของ GDP ในปี 2568 ที่ระดับ 3% และปี 2569-70 ในระดับ 4-5%
DAOL: หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปาฐกถาพิเศษของคุณทักษิณฝ่ายวิจัยประเมินมีดังนี้
- POWER (Overweight) อาจเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาในกลุ่มโรงไฟฟ้าหลังคุณทักษิณบอกว่าการปรับลดค่าไฟให้กระทบเอกชนน้อย อย่างไรก็ตามเรายังมีความกังวลในส่วนการปรับลดค่าไฟผ่าน 3 การไฟฟ้าหลักจะกระทบค่าไฟฐานมากน้อยเพียงใด ซึ่งยังไม่ทราบรายละเอียด เป็นประเด็นที่ยังต้องระวัง หุ้นที่อาจเห็นการ rebound ระยะสั้น GPSC (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 60.00 บาท)
- ADVANC (ซื้อ/เป้า 310.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 60.00 บาท), INTUCH (consensus 105.75 บาท) สนับสนุน Data Center และ AI
- MEDEZE (ซื้อ/เป้า 11.50 บาท) สนับสนุนการวิจัยและการใช้ Stem Cell
- Ground Transport (Neutral) คุณทักษิณยังเน้นย้ำนโยบายค่าโดยสาร 20 บาท โดยจัดตั้งกองทุน infrastructure fund เดือน ต.ค. นี้ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวอาจยังต้องใช้เวลาศึกษา และในช่วง 1-2 ปีแรกของการเริ่มใช้นโยบายค่าโดยสาร 20 บาทจะเป็นการชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารก่อน ซึ่งจะเป็นบวกต่อ BEM, BTS
- MEGA (consensus 45.60 บาท) สนับสนุนธุรกิจการผลิตยารักษาโรคในไทยเพื่อลดการนำเข้า
- PTTEP (ซื้อ/เป้า 160.00 บาท) มีโอกาสได้ประโยชน์จากการลดภาษีปิโตรเลียมที่เป็นไปได้และความคืบหน้าของการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA)
ด้าน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เผยกลยุทธ์ลงทุนจากประเด็นสำคัญของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในงาน Dinner Talk “CHAT WITH TONY : BULL RALLY THAI CAPITAL MARKET” วานนี้จากปาฐกถา ฝ่ายวิจัยมองว่า ประเด็นส่วนใหญ่ที่กล่าวยังคล้ายกับงาน Vision for Thailand 2567 (เมื่อวันที่ 22 ส.ค.67) โดยมีประเด็นที่แตกต่างสำคัญ คือ ครั้งนี้จะเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (SEC SET กระทรวงการคลัง) เร่งสร้าง Trust (ความน่าเชื่อถือ), Confidence (ความเชื่อมั่น) และ Sentiment (ความรู้สึก) ให้กลับคืนมาเพื่อหนุนบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ประเด็นด้านการสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจยังคล้ายเดิม คือ เน้นเรื่องการเพิ่มกำลังซื้อและลดค่าครองชีพให้ประชาชน ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และดึงเงินทุนจากต่างชาติมาไทย ทั้งนี้สำหรับกลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยอาจได้ Sentiment บวกจากประเด็นสำคัญที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น คือ กลุ่มขนส่งจากนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (BEM BTSBTSGIF) กลุ่มพาณิชย์จากค่าครองชีพที่จะลดลง (CPALL CPAXT CRC) รวมทั้งกลุ่มนิคม (AMATA WHA) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF GPSC BGRIM) กลุ่มสื่อสาร (INSET ADVANC TRUE) จากเร่งส่งเสริมการลงทุน เช่น Data Center ส่วนนโยบายลดค่าไฟมองเป็นลบเล็กน้อยต่อ PTT แต่ไม่ได้ส่งผลลบมากนักต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาหุ้นลงมาในช่วงก่อนหน้า (GULF GPSC BGRIM)
มุมมองฝ่ายวิจัย
ประเด็นที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ได้แก่ 1) ออก Infrastructure fund เพื่อหนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 2) ส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น Data Center, AI Hub 3) ลดค่าไฟให้ถูกลง ด้วยวิธีการ เช่น บริหารจัดการต้นทุนของ 3 การไฟฟ้า, ส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, โรงไฟฟ้าต้นทุนสูง (ถ่านหิน, ก๊าซ) เอาเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองและหันไปใช้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนต่ำกว่าเป็นหลักแทน, ลดค่าผ่านท่อของ PTTและ 4) ใช้ทรัพย์สินของรัฐเพื่อสร้างธุรกิจและทรัพย์สินใหม่ เช่น ใช้ที่ดิน รฟท. ในโครงการสร้างบ้านเพื่อคนไทย ส่วนประเด็นที่เหลือคาดยังคงต้องใช้เวลาดำเนินการ
ประเด็นที่เป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น ได้แก่ 1) SEC ต้องตอบสนองให้เร็วเรื่อง Good Governance ของ บจ. 2) SET ต้องตรวจสอบเรื่อง high frequency trade (HFT) ไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขัน 3) แนะคลังเพิ่มอำนาจให้ SEC ตรวจสอบ บจ. ไม่ให้ตอบสนองช้าเมื่อมีการกระทำผิดจนทำให้ตลาดขาดความเชื่อถือ 4) แนะ ตลท. หนุนให้ บจ. ที่มี PER, PBV ต่ำ ดำเนินการซื้อหุ้นคืน 5) คลังอยู่ระหว่างศึกษากองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทยคล้ายกับ LTF 6) แนะ กลต. ทำตลาด Carbon Credit trade 7) ไทยต้องพัฒนาตัวเองให้เป็น financial center และ 8) สร้างสมดุลระบบนิเวศระหว่างรถไฟฟ้า (อีวี) จีน กับ รถสันดาปญี่ปุ่น
มาตรการที่คุณทักษิณเสนอมีศักยภาพที่จะผลักดัน GDP ไทยปี 2568 จาก 3% เป็น 4%ในปี 2569 และ 5% ในปี 2570 ผ่าน (1) การสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นที่จะเพิ่ม GDP 0.2-0.3% (2) การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบที่จะเพิ่ม GDP 2-3% (3) การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์และ AI Hub ที่จะเพิ่มอีก 0.5-1% และ (4) การพัฒนาระบบนิเวศด้าน digital asset ที่จะเพิ่มอีก 0.3-0.5% ซึ่งรวมแล้วมีศักยภาพเพิ่มการเติบโตได้ 3.0-4.8% หากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง