MINTฟื้นแกร่งไทย-ยุโรป คุมต้นทุนสู้เงินเฟ้อ
#MINT #ทันหุ้น- MINT ปลื้มค่าห้องพักในยุโรป-มัลดีฟส์ดีดสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว เชื่อความต้องการเดินทางท่องเที่ยวยังสูง ขณะที่ในไทยทยอยปลดล็อกหนุนบรรยากาศ ธุรกิจอาหารยอดขายเร่งตัว เช่นเดียวกับธุรกิจไลฟ์สไตล์อีบิทด้าพลิกบวก มั่นใจปีนี้ผลงานฟื้นแกร่งทุกกลุ่มธุรกิจ โชว์สูตรบริหารต้นทุนสู้เงินเฟ้อ เน้นโตผ่านแฟรนไชส์-รับจ้างบริหาร
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ภาพรวมทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2565 โดย ธุรกิจโรงแรมในยุโรป และมัลดีฟส์สามารถปรับราคาค่าห้องพักกลับขึ้นไปสูงกว่าช่วงปี 2562 ได้แล้ว แม้ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ยังฟื้นตัวเฉลี่ยที่ 40%เมื่อเทียบกับปี 2562
ส่วนโรงแรมในไทยจะได้รับผลดีจากการที่รัฐบาลเตรียมพิจารณายกเลิกระบบการลงทะเบียน “Thailand Pass” ในเดือนมิถุนายน 2565 รวมถึงอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์เพื่อประกาศให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น” (Endemic) และการต่ออายุโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ออกไปถึงเดือนกันยายน 2565 จะกระตุ้นบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวของทั้งนักท่องเที่ยวใน – ต่างประเทศตลอดช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้อัตราเข้าพักในเดือนเมษายน-พฤษภาคมของไทยอยู่ที่ 40%ขณะที่ราคาห้องพักก็เริ่มทยอยปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจอาหารในไทยฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งทุกแบรนด์ และทุกช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งนั่งทานในร้าน และเดลิเวอรี่ ขณะที่ออสเตรเลียเริ่มผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 หนุนการกลับมาทานอาหารในร้านเร่งตัวขึ้น
พร้อมกันนี้คาดการณ์ว่าจีนจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ภายในเดือนมิถุนายน 2565 นี้ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันบริษัทจะทยอยปรับภาพลักษณ์แบรนด์อาหาร (Rebranding) ทุกแบรนด์ทั้งในไทย และออสเตรเลียให้ดึงดูด และสร้างกระแสให้แบรนด์อาหารของบริษัทยังคงเป็น Top of Mind อยู่เสมอ
@จัดการต้นทุนได้
นายชัยพัฒน์ กล่าวด้วยว่า บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่เร่งตัวขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระจายคำสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ (Supplier) หลายรายเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ควบคู่กับการสั่งซื้อล่วงหน้าเพื่อรักษาระดับราคาสินค้าไว้ในระดับที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงเมนูอาหารให้หลากหลาย เพื่อปรับขึ้นราคาในบางกลุ่ม และปรับโปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ส่งผลให้บริษัทยังรักษาศักยภาพการทำกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสม
“MINT จะยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 2 แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่องถึงครึ่งหลังของปี ก็อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาบางเมนู และปรับโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น”
ส่วน ธุรกิจไลฟ์สไตล์ เริ่มเห็นการฟื้นตัวทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่น, สินค้าในครัวเรือน และธุรกิจรับจ้างผลิต หนุนให้กำไรก่อนจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) พลิกเป็น “บวก” ได้ตั้งแต่งวดไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา
รักษากระแสเงินสด
ทั้งนี้บริษัทยังคงควบคุมการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปี 2565 บริษัทยังคงงบประมาณการลงทุนไว้ราว 6,400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจโรงแรมจะเน้นการขยายกิจการผ่านการ “รับจ้างบริหาร” มุ่งเน้นภูมิภาคตะวันออกกลาง และจีน ขณะที่ธุรกิจอาหารจะขยายสาขาในรูปแบบ “แฟรนไชส์” (Franchise) เป็นหลัก
โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 บริษัทมีกระแสเงินสดในมือกว่า 20,000 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 32,000 ล้านบาท เพียงพอสำหรับเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมถึงได้ออกหุ้นกู้ ‘MINT e-Bond’วงเงิน 7 พันล้านบาท เพื่อในการรีไฟแนนซ์ (Refinance) หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน