รีเซต

“อยู่เย็นเป็นโสด” เมื่อความโสดและความสุข โคจรมาพบกันที่ “เดนมาร์ก”

“อยู่เย็นเป็นโสด” เมื่อความโสดและความสุข โคจรมาพบกันที่ “เดนมาร์ก”
TNN ช่อง16
1 มิถุนายน 2567 ( 16:38 )
34

ปัญหา “ความโสด” กำลังกัดกินสังคมโลกอยู่ ณ ตอนนี้ ถึงแม้การเลือกอยู่เป็นโสด จะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ปัญหาที่ตามมาคือ สังคมสูงวัย ประชากรเกิดน้อย รวมไปถึง ปัญหาขาดแคลนแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ


การอยู่คนเดียว ไร้คู่ เหมือนจะสบาย แต่ในหลาย ๆ ประเทศ สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ก็มาซ้ำเติมการเป็นโสดให้ดูทรมานมากยิ่งขึ้น อาทิ การต้องจ่ายภาษีอัตราคนโสดที่แทบจะมากกว่าอัตราสมรสเป็นเท่าทวี ความกังวลด้านการดูแลรักษาตนเองยามแก่เฒ่า หรือกระทั่งการที่สังคมตีตราว่า “ขึ้นคาน”


แต่ไม่ใช่กับ “เดนมาร์ก” ที่ถึงแม้อัตราการอยู่เป็นโสดจะมากที่สุดในโลก แต่พวกเขาก็ “มีความสุข” แทบจะมากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน


เป็นโสดทำไม


เดนมาร์ก เป็นประเทศที่มี “อัตราคนโสดต่อจำนวนประชากรวัยแรงงาน (20 - 60 ปี)” มากที่สุดในโลก จากสถิติของ OECD ได้ชี้ชัดว่า เดนมาร์กมีอัตรามากถึง 24.1% ซึ่งอย่าลืมว่า เดนมาร์กมีประชากรทั้งประเทศเพียง 5.9 ล้านคน และมีประชากรวัยแรงงานราว 2.4 ล้านคน นั่นหมายความว่า จำนวนคนโสดจะมีมากถึง 1 ใน 10 ของประชากรในประเทศเลยทีเดียว 



ที่มา: OECD


เท่านั้นยังไม่พอ หากเจาะลึกไปที่รายละเอียดของการโสด จะพบว่า จากสถิติของ Statista ในเดนมาร์ก มีจำนวนผู้ที่เป็นโสด “โดยที่ไม่ได้หย่าร้าง” เกือบ 2.93 ล้านคน คิดเป็น 49.29% จากจำนวนประชากรทั้งหมด หรือหากปัดเลขกลม ๆ “เกือบครึ่งประเทศ” เลือกที่จะอยู่เป็นโสด 



ที่มา: Statista


เพราะอย่าลืมว่า เดนมาร์กเป็นประเทศเล็ก (Small State) ทั้งขนาดพื้นที่ และจำนวนประชากร การที่ประชาชนเลือกที่จะอยู่เป็นโสด นั่นหมายความว่า รัฐบาลจะสูญเสียการควบคุมประชากร ทั้งในแง่ของจำนวนแรงงานคาดการณ์ในอนาคต ที่จะมาขับเคลื่อนประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็จะได้รับผลกระทบจากจำนวนประชากรที่น้อย บ้านจะขายไม่ออก หรือแม้กระทั่งเรื่องของความมั่นคง ที่จะขาดพลเรือนในการเข้าเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ


หรือก็คือ สำหรับประเทศเล็ก ๆ แล้ว การที่ผู้คนเลือกอยู่เป็นโสด หมายถึง “หายนะ” ที่จะตามมาในเชิงโครงสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


กระนั้น คำถามคือ เหตุใดเดนมาร์กถึงปล่อยให้ผู้คนเลือกที่จะอยู่เป็นโสดมากมายถึงเพียงนี้?


อยู่เย็นเป็นโสด


คำตอบง่าย ๆ ต้องพิจารณา “อัตราความสุขมวลรวม” ของประเทศด้วยเช่นกัน


จากสถิติของ World Happiness Report ในปี 2024 เดนมาร์กอยู่ใน “ลำดับที่ 2” จากจำนวน 143 ประเทศ  ในอัตรา 7.583 คะแนน เป็นรองเพียงฟินแลนด์เท่านั้น


ที่มา: World Happiness Report


แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าอัตราคนโสดของเดนมาร์กจะเยอะมาก แต่อัตราความสุขก็เยอะมากตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่า สำหรับเดนมาร์กแล้ว เรื่องความโสด “ไม่ใช่ปัญหาของประเทศ” แต่อย่างใด


แน่นอน ตรงนี้ เป็นผลมาจากการที่ประเทศเป็น “รัฐสวัสดิการ” ที่ประชาชนจะจ่ายภาษีระดับมหาศาล เกินครึ่งหนึ่งของรายได้บุคคลธรรมดา ดังที่เห็นได้จากสถิติของ Tax Foundation ที่ชี้ชัดว่า เดนมาร์กเป็นยประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่ “เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากที่สุด” ในอัตรา 55.9% ของรายได้บุคคลธรรมดา ในปี 2021 


ที่มา: Tax Foundation


ตรงนี้ ก็เป็นดาบสองคม เพราะรายได้จะหายไปเยอะ แต่สิ่งที่ตามมา นั่นคือ ยามแก่เฒ่า ประชาชนสามารถมั่นใจได้เลยว่า รัฐจะเลี้ยงดูพวกตนอย่างดี คุ้มทุกยูโรที่เสียภาษีไป ดังนั้น การมีคู่ครองจึงอาจจะไม่จำเป็นมากมายแต่อย่างใด


เป็นกันทั้งยุโรป


ที่จริง ต้องบอกว่า กระแสการอยู่เย็นเป็นโสด เนื่องมาจากอัตราความสุขที่สูงมากอยู่แล้วนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในเดนมาร์ก แต่สิ่งนี้แทบจะเป็นปรากฏการณ์ “ทั่วทั้งยุโรป” เลยทีเดียว


จากงานศึกษา Trends in singlehood in young adulthood in Europe ได้เสนอว่า กลุ่มวัยรุ่นชายในยุโรป เลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า 52% ส่วนวัยรุ่นผู้หญิง อยู่ที่ 62% จากกลุ่มตัวอย่างทั้งยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกอยู่ในดินแดนสแกนดิเนเวีย แต่ในยุโรปตะวันตก ก็มีอัตราที่เพิ่มมากขึ้นไม่แพ้กัน ในสหราชอาณาจักรและเยรมนี วัยรุ่นชายมีอัตราอยู่ที่ 70-77% เลยทีเดียว


ที่มา: Trends in singlehood in young adulthood in Europe


โดยวัยรุ่นทั่วยุโรป เลือกที่จะอยู่แบบ “อยู่กินแบบไม่แต่งงาน (Cohort)” แทนที่จะจดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งตามหลักการทางกฏหมายแล้ว ไม่นับว่าเป็นคู่ชีวิต และจะจัดอยู่ในหมวดของคนโสด 2 คนแทน


เมื่อมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การอยู่เป็นโสดอย่างมีคุณภาพได้นั้น ลำพังตนเองไม่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ จะต้องมีกลไกภาครัฐที่เอื้อให้เกิดการเลือกที่จะเป็นโสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบที่เดนมาร์กกระทำได้ แต่ไม่ใช่กับทุกประเทศที่จะเอื้อให้เกิดการอยู่เย็นเป็นโสด โดยเฉพาะ ประเทศที่ประชากรมาก ๆ ที่รัฐไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง การจะมาเป็นรัฐสวัสดิการ ทำให้ดัชนีความสุขพุ่งสูงถ้วนหน้าอาจเป็นไปไม่ได้ 


พวกนี้ อาจจะต้องไปดำเนินนโยบายประเภทอุ้มชูการมีลูกเพื่อส่งออกเป็นแรงงานโลกแทน เพื่อเป็นการ “แบ่งงานกันทำ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


Exclusive by วิศรุต หล่าสกุล


แหล่งอ้างอิง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง