รีเซต

ดอกเบี้ยขาลง "ประชาชน-ธุรกิจ" รับประโยชน์อย่างไรบ้าง เช็กเลย

ดอกเบี้ยขาลง "ประชาชน-ธุรกิจ" รับประโยชน์อย่างไรบ้าง เช็กเลย
TNN ช่อง16
15 สิงหาคม 2568 ( 15:46 )
12

แบงก์พาณิชย์-แบงก์เฉพาะกิจ ทั้งธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ  กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)   ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ขานรับคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25%   เพื่อช่วยลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัวรับกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของโลก และการแข่งขันที่จะทวีความเข้มข้นขึ้นในเวลาอันใกล้ รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งปฏิรูป 

โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SME  ประคองธุรกิจ และลูกค้า ประชาชนให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) อัตราดอกเบี้ยเงินลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR)

โดยดอกเบี้ย MRR คือ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ส่วนใหญ่จะใช้คำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นหลัก


แตกต่างจากดอกเบี้ย ซึ่งเป็นดอกเบี้ยหลักของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี มีประวัติการเงินดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะใช้กับการกู้ระยะยาวที่มีกำหนดเวลาแน่นอน และโดยปกติปดอกเบี้ย MRR จะสูงกว่า ดอกเบี้ย MLR เพราะจะใช้กับสินเชื่อที่มีความเสี่ยงมากกว่า


ซึ่งหากดอกเบี้ย MRR ลด 0.25% จาก 7.03% เหลือ 6.78% ต่อปี โดยถ้า กู้ 1,000,000 บาท  

เดิม : จ่ายดอกเบี้ย 7.03% ต่อปี จะจ่ายดอกเบี้ย 70,300 บาทต่อปี หรือ 5,858 บาทต่อเดือน

ใหม่ : ดอกเบี้ยลง 0.25% มาที่ 6.78% จะจ่ายดอกเบี้ย 67,800 บาทต่อปี หรือประมาณ 5,650 บาท 

ส่วนต่างที่ลดลงประหยัดเงิน 5,858 -5,650 =208 บาท ต่อเดือน หรือประมาณ 2,496 บาทต่อปี 


สมมุติยอดกู้ 2,000,000 บาท

เดิม : จ่ายดอกเบี้ย 7.03% ต่อปี  จะจ่ายดอกเบี้ย  140,600 บาทต่อปี หรือ  11,716  บาทต่อเดือน

️ใหม่ : ดอกลง 0.25% มาที่ 6.78% จะจ่ายดอกเบี้ย 135,600  บาทต่อปี หรือประมาณ   11,300 บาท 

ส่วนต่างที่ลดลงประหยัดเงิน  11,716 - 11,300 = 416  บาท ต่อเดือน หรือประมาณ 4,992 บาทต่อปี

 

ประโยชน์ต่อประชาชน

  1. ภาระหนี้ลดลง
    1. ดอกเบี้ยเงินกู้ เช่น สินเชื่อบ้าน รถ หรือบัตรเครดิตลดลง ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง
    2. คนที่มีหนี้เดิมอยู่แล้ว จะมีภาระดอกเบี้ยน้อยลง (โดยเฉพาะหนี้ที่เป็น “อัตราลอยตัว”)
  2. กระตุ้นให้กู้มากขึ้น
    1. ดอกเบี้ยต่ำทำให้คนอยากกู้เงินมากขึ้น เช่น กู้ซื้อบ้าน รถ หรือเพื่อการศึกษา เพราะต้นทุนต่ำลง
  3. เพิ่มการใช้จ่าย
    1. เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ คนจะเก็บเงินในบัญชีหรือฝากธนาคารน้อยลง แล้วหันมาใช้จ่ายหรือลงทุนแทน
  4. สร้างแรงจูงใจในการลงทุนส่วนบุคคล
    1. บางคนอาจนำเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์ ฝากประจำ แล้วหันไปลงทุนในหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า

ประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ

  1. ต้นทุนทางการเงินลดลง
    1. บริษัทสามารถกู้เงินจากธนาคารเพื่อขยายกิจการ หรือลงทุนเพิ่มได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิม
  2. กระตุ้นการลงทุนในธุรกิจใหม่
    1. ดอกเบี้ยต่ำช่วยจูงใจให้เริ่มธุรกิจ หรือขยายธุรกิจ เพราะต้นทุนถูกลง และความเสี่ยงน้อยลง
  3. ยอดขายเพิ่มจากการบริโภคของประชาชนที่เพิ่มขึ้น
    1. เมื่อผู้บริโภคมีเงินเหลือใช้ หรือกล้าจับจ่ายมากขึ้น ยอดขายสินค้าหรือบริการก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  4. เพิ่มโอกาสการจ้างงาน
    1. การลงทุนและการบริโภคที่มากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจมีรายได้เพิ่ม และอาจจ้างพนักงานเพิ่ม

หลักประกันเงินกู้ มีอะไรบ้าง ?

การกู้เงินบางประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีวงเงินสูง เช่น สินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารจะต้องการ ‘หลักประกัน’ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กู้มีความสามารถในการชำระหนี้คืน หากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารจะใช้หลักประกันนั้นเพื่อชดเชยความเสียหายจากการผิดชำระหนี้ ซึ่งหลักประกันที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้

  • ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ : สำหรับการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรือการรีไฟแนนซ์บ้านนั้น บ้านหรือที่ดินที่ซื้อจะถูกนำมาเป็นหลักประกัน โดยธนาคารจะถือสิทธิ์ในการยึดบ้านหรือที่ดินนั้นหากผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินคืนได้
  • รถยนต์ : สำหรับการกู้เงินซื้อรถยนต์ รถที่ซื้อจะถูกใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน โดยธนาคารจะถือสิทธิ์ในการครอบครองรถ หากผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินคืนตามกำหนด
  • เงินฝากหรือพันธบัตร : ในบางกรณีผู้กู้สามารถใช้เงินฝากประจำหรือพันธบัตรที่ถืออยู่ในธนาคารมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน หากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารจะใช้เงินฝากหรือพันธบัตรนั้นมาชดเชยหนี้
  • สินทรัพย์ที่มีค่า : เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์สำหรับธุรกิจ อาจถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทต้องการขยายกิจการหรือขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มเงินทุน
  • บุคคลค้ำประกัน : บางครั้งผู้กู้ไม่สามารถให้หลักประกันที่เป็นทรัพย์สินได้ ธนาคารอาจยอมรับบุคคลค้ำประกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือทางการเงิน โดยบุคคลนี้จะต้องรับผิดชอบการชำระหนี้แทนผู้กู้ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้

การมีหลักประกันที่มั่นคงจะช่วยให้ธนาคารมีความมั่นใจในความเสี่ยงที่ต่ำลง จึงมักจะทำให้ผู้กู้ได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงและวงเงินกู้ที่สูงขึ้น


ก่อนตัดสินใจในการกู้เงินธนาคาร ควรพิจารณาข้อควรรู้ต่างๆ ดังนี้

  • อัตราดอกเบี้ย : สำคัญมากที่ต้องทำความเข้าใจอัตราดอกเบี้ยประเภทต่างๆ เช่น ดอกเบี้ยคงที่หรือดอกเบี้ยลอยตัว
  • ระยะเวลาการผ่อนชำระ : ควรพิจารณาว่าระยะเวลานานแค่ไหน และค่างวดที่ต้องชำระทุกเดือนสามารถรับได้หรือไม่
  • ค่าธรรมเนียม : ตรวจสอบค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการกู้ ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง

ขั้นตอนและวิธีการกู้เงินธนาคาร

การกู้เงินธนาคารต้องเตรียมตัวอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการกู้เพื่อซื้อบ้าน รถยนต์ หรือเรื่องส่วนตัว การเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงด้านการเงินในอนาคต

  • สำรวจความต้องการ : ประเมินว่าต้องการกู้ในเงินจำนวนเท่าไหร่ รวมถึงประเภทสินเชื่อที่เหมาะสมกับจุดประสงค์
  • เตรียมเอกสาร : รวบรวมเอกสารที่ธนาคารกำหนด
  • ยื่นคำขอกู้ : นำเอกสารไปยื่นที่ธนาคารที่ต้องการใช้บริการ
  • การพิจารณาเครดิต : ธนาคารจะตรวจสอบประวัติการเงินและเครดิตของผู้กู้
  • อนุมัติและเซ็นสัญญา : หากผ่านการพิจารณา ผู้กู้จะต้องเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน
  • รับเงินกู้ : หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อย ธนาคารจะโอนเงินให้ผู้กู้
  • ความสามารถในการชำระ : พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต

 

การกู้เงินธนาคารเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน รถยนต์ หรือการลงทุน โดยเฉพาะในวงจรดอกเบี้ยขาลง ก็จะช่วยให้ต้นทุนในการกู้ต่ำลงไปด้วย แต่ก่อนตัดสินใจควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านเอกสาร ความสามารถในการชำระหนี้ และการเลือกประเภทสินเชื่อที่เหมาะสม โดยผู้กู้ควรเข้าใจขั้นตอนและเงื่อนไข พร้อมศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ เพื่อช่วยให้กระบวนการกู้ยืมผ่านฉลุยจากธนาคาร และที่สำคัญต้องประเมินถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเองว่า จะสามารถจ่ายคืนหนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่งหรือไม่....

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง