"สภาพัฒน์ "กางข้อมูลศก.ไทย ส่งสัญญาณแผ่ว

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ล่าสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 –2569 ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน
โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 1.2 YoY ชะลอลงจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.6 จากไตรมาสที่ 2 ปี 2568 (%QoQ_SA) ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส และรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.4
ทั้งนี้ ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปี2568 ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประเมินเศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 1.5 YoY และติดลบร้อยละ 0.5 QoQ
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงนั้นมีความไม่แน่นอนและความผันผวนทางการเมืองค่อนข้างมาก อีกทั้งมีปัจจัยภายนอกในเรื่องความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา ขณะเดียวกัน ในสาขาการผลิตได้รับผลกระทบเยอะ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว
เช่น การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น การปิดโรงงานชั่วคราวเพื่อย้ายฐานการผลิตยานยนต์จากภาคกลางไปยังภาคตะวันออกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น ส่งผลให้สาขาอุตสาหกรรมลดลงครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส หรือติดลบร้อยละ 1.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ1.7 ในไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในไตรมาสที่ 3 พบว่า การลงทุนรวมขยายตัวต่ำเพียงร้อยละ 1.1 แม้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.2 แต่การลงทุนภาครัฐที่ติดลบร้อยละ 5.3 ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวร้อยละ 2.6 การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวถึงร้อยละ 6.9
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบ GDP ไทยไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ที่่ขยายตัวร้อยละ 1.2 กับ GDP ประเทศในอาเซียน จากข้อมูลที่สภาพัฒน์รวบรวมพบว่า GDP ไทยยังอยู่รั้งท้ายอาเซียน ขณะที่เวียดนามขยายตัวสูงสุดในอาเซียนที่ร้อยละ 8.2 ตามด้วยมาเลเซียร้อยละ 5.2 อินโดนีเซียร้อยละ 5.0 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 4.0 สิงคโปร์ร้อยละ 2.9
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)จะหดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส จนทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หรือไม่นั้น เลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่า การพิจารณาเรื่องนี้ ต้องดูหลายด้าน เพราะเรื่องเศรษฐกิจต้องดูทั้งข้อมูลการเงิน การคลังประกอบกัน การจะคาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาข้อมูลให้รอบด้าน หากจะมองเพียงเท่านี้ อาจยังไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ดี สภาพัฒน์ประมาณการ GDP ไทยทั้งปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.0 YoY ซึ่งเป็นการเติบโตในอัตราชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในปี 2567 สะท้อนว่า GDP ไตรมาสที่ 4 ปี 2568 จะต้องขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 1
โดยเลขาธิการสภาพัฒน์คาดว่าน่าจะอยู่ที่ราวร้อยละ 0.6 YoY ชะลอลงจากร้อยละ 1.2 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าที่ธปท.คาดการณ์ไว้ร้อยละ 1.3 YoY แต่ GDP ไตรมาสที่ 4 ปี 2568 เทียบไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ธปท.คาดว่าจะพลิกเป็นบวกร้อยละ 0.5 ทำให้
ขณะที่ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า GDP ไตรมาสที่ 3 ที่ชะลอลงเป็นไปตามคาด แต่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 จะฟื้นตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน โดยเป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ประกาศใช้ไปทั้ง คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเป็นส่วนสำคัญกระตุก GDP ให้ขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่ 4 และ ทั้งปีนี้ GDP จะโตเกินร้อยละ 2.0
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 สภาพัฒน์ประมาณการขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.2 – 2.2 หรือมีค่ากลางการประมาณการร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่สำคัญดังนี้
1. การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายในสินค้าคงทนและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวของยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและจักรยานยนต์ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
2. การขยายตัวต่อเนื่องของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2569
ทั้งนี้ กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่วงเงิน 2.49 ล้านล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณหมวดอุดหนุน และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 จากปีงบประมาณก่อนหน้า ส่วนกรอบงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมประจำปีงบประมาณ 2569 รวมทั้งสิ้น 208,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.0 จากปีงบประมาณก่อนหน้า
3. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) รวมถึงการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “Thailand’s Grand Comeback 2026” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 อยู่ที่ 35.0 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 จากปีก่อนหน้า
4. การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำที่มากเพียงพอและแนวโน้มการปรับเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง (Neutral) ของสถานการณ์เอนโซตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2569
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ระบุว่า ในปี 2569 มีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยได้แก่
1. การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย ผ่านช่องทางที่สำคัญ (1) ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนในปี 2569 (2) ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบของไทยลดลงต่อเนื่อง อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น
(3) ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงของการส่งออกจาก Transshipment หรือปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออก และ (4) ผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้า อันเนื่องมาจากการเจรจาการค้าโดยการลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ของไทย โดยเฉพาะสินค้าภาคการเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ในหลายกลุ่มสินค้า อาทิเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและชิ้นส่วน และยานยนต์ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค
2. แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยมีความเสี่ยงจากความยืดเยื้อและความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของตลาดทุนอันเนื่องจากแนวโน้มการปรับฐานราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยี
3. ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูง จะเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่สองของปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 86.8 แม้ว่าจะลดลงจากร้อยละ 89.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าร้อยละ 82.6 ในไตรมาสที่สองของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนและสินเชื่อภาคธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง
4. บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจที่อาจมีความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การชะลอการลงทุนใหม่หรือขยายการผลิต นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจจะส่งผลให้กระบวนการจัดทำงบประมาณมีความล่าช้า ซึ่งในกรณีฐานสภาพัฒน์คาดว่าจะมีความล่าช้าในกระบวนการจัดทำงบประมาณ 1 ไตรมาสจากการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล
สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 สภาพัฒน์ระบุว่า ควรให้ความสำคัญกับ
1. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุน (2) การเร่งดำเนินการตามมาตรการภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้ว (3) เร่งรัดกระบวนการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่มีความล่าช้าควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงและป้องกันความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating)
2.การเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับ (1) การแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว (2) การแก้ปัญหาอาชญากรรมและเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว (3) การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) (4) การทำการตลาดที่สอดคล้องกับภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น (5) การเร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบิน เพื่อเพิ่มจำนวน/ความถี่เที่ยวบิน และเปิดเส้นทางบินใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และ (6) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
3. การดูแลภาคการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับ (1) การฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้สามารถฟื้นตัวและมีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก 2569/70 (2) การเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรจะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ผลผลิตมีแนวโน้มออกสู่ตลาดในปริมาณมาก และ (3) การเร่งรัดโครงการสำคัญ ๆ ภายใต้แผนหลักการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติและเอื้ออำนวยต่อการผลิตภาคเกษตรมากขึ้น
4. การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญ (1) การลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก (2) การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (3) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ (4) การส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตภายในประเทศ (5) การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญๆ ของประเทศคู่ค้าที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 – 2570 และ (6) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ
5. การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567 - 2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว (2) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และ (3) การใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุนที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในการส่งออกไปสหรัฐฯ
6. การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ได้แก่ (1) การลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน (2) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า (3) การเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในระยะต่อไป
และ7.การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง