บนเกาะเทอร์นาเต ประเทศอินโดนีเซีย ที่เคยเป็นแหล่งปลูกกานพลูอันล้ำค่าในยุคล่าอาณานิคม ปัจจุบันเกษตรกรกลับเผชิญภัยครั้งใหม่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เซยาฮูร์ มาห์มูด เกษตรกรวัย 61 ปี เผยว่า สภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเฉพาะฝนที่ตกไม่เป็นฤดูกาล ทำให้การเก็บเกี่ยวกานพลูที่เคยมั่นคงกลับไม่แน่นอน กานพลูเป็นพืชที่อ่อนไหวต่ออุณหภูมิและความชื้น หากสภาพอากาศไม่เหมาะสม คุณภาพและปริมาณผลผลิตจะลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ราคากานพลูผันผวนและรายได้ของเกษตรกรลดลงตาม
ข้อมูลจาก FAO ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2010 ผลผลิตกานพลูของอินโดนีเซียลดลงเกือบ 1 ใน 4 และในปี 2023 อินโดนีเซียเสียตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับ 1 ให้กับมาดากัสการ์ แม้จะยังผลิตมากที่สุดในโลกก็ตาม เกษตรกรบางรายต้องหารายได้เสริม เช่น การขายไม้ไผ่หรือเครื่องดื่มผสมสมุนไพร เพราะรายได้จากกานพลูไม่พอเลี้ยงชีพ ขณะเดียวกัน งานวิจัยในปี 2023 ยังพบว่าปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นและสภาพอากาศสุดขั้วส่งผลเสียต่อผลผลิตกานพลูอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อผลผลิต แต่ยังส่งผลต่อกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว เช่น การตากแห้งที่ใช้เวลานานขึ้นเพราะฝนตกไม่หยุด แม้เกษตรกรจะพยายามปรับตัว แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับผลกระทบจากโลกร้อนได้เพียงลำพัง พวกเขาเรียกร้องให้ประเทศผู้นำเข้าเครื่องเทศหันมาใส่ใจปัญหาสภาพภูมิอากาศในประเทศผู้ผลิตที่ต้องเผชิญกับความเปราะบาง
แม้จะยากลำบาก แต่เกษตรกรเช่นเซยาฮูร์ยังคงยึดมั่นในการปลูกกานพลู เพราะเห็นว่านี่คือมรดกทางวัฒนธรรมและความภูมิใจที่บรรพบุรุษได้รักษาไว้ เขากล่าวว่า “พ่อแม่ของเราปลูกไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่คนรุ่นหลัง” — สะท้อนความผูกพันลึกซึ้งระหว่างชุมชนกับพืชเศรษฐกิจที่สืบทอดมายาวนานหลายร้อยปี แม้ต้องฝ่าฟันพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ก็ตาม