Metaplanet ซื้อ Bitcoin เพิ่ม 600 ล้านดอลลาร์ ขึ้นแท่นผู้ถือครองรายใหญ่ลำดับ 4 ของโลก

Metaplanet บริษัทการลงทุนจากญี่ปุ่น ประกาศการซื้อ Bitcoin เพิ่มอีก 5,268 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17.39 ล้านเยนต่อ 1 BTC ทำให้บริษัทมีการถือครองรวม 30,823 BTC ส่งผลให้ Metaplanet ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือ Bitcoin องค์กรที่ใหญ่ที่สุดเป็น ลำดับ 4 ของโลก แซงหน้า Bitcoin Standard Treasury Company ตามข้อมูลจาก BitcoinTreasuries.NET การเข้าซื้อครั้งนี้ทำให้มูลค่ารวมของ Bitcoin ที่บริษัทถืออยู่เพิ่มขึ้นเป็น 3.6 พันล้านดอลลาร์ โดยมีต้นทุนเฉลี่ยราว 108,000 ดอลลาร์
ที่มา: Metaplanet
ผลตอบแทนการถือ Bitcoin ของ Metaplanet
Metaplanet เริ่มสะสม Bitcoin เข้าสู่งบดุลตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 และเติบโตเร็วกว่าบริษัทมหาชนรายอื่น ๆ ในตลาด โดยข้อมูลจากการยื่นรายงานเผยว่า BTC Yield ของบริษัทเคยพุ่งสูงถึง 309.8% ในช่วงปลายปี 2024 ก่อนจะปรับตัวลงมาที่ 33% ในปี 2025
BTC Yield หมายถึงสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงระหว่างจำนวน Bitcoin ทั้งหมดที่ถือครองต่อจำนวนหุ้นที่ถูกปรับลดทั้งหมด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่า แต่ละหุ้นมีการสนับสนุนด้วย Bitcoin มากแค่ไหน
แม้ในปี 2024 อัตราการสะสม BTC ต่อหุ้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันแม้การเข้าซื้อยังดำเนินต่อไป ความเร็วในการเพิ่ม exposure ต่อหุ้นก็ชะลอลง
ผลตอบแทน Bitcoin ของ Metaplanet พุ่งสูงกว่า 300% เมื่อปลายปี 2024 ที่มา: Metaplanet
Bitcoin ในมือบริษัทมหาชนแตะ 1 ล้านเหรียญ
ข้อมูลจาก BitcoinTreasuries.NET ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทมหาชนทั่วโลกถือครองรวมกว่า 1 ล้าน BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 116 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 4.7% ของซัพพลาย Bitcoin ทั้งหมด
หากนับรวมการถือครองโดย ETF, รัฐบาล, บริษัทเอกชน และตลาดแลกเปลี่ยน จะทำให้ยอดรวมของ Bitcoin ใน Treasuries อยู่ที่ประมาณ 3.8 ล้าน BTC หรือกว่า 442 พันล้านดอลลาร์
นอกจาก Bitcoin แล้ว Altcoin Treasuries ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น
- Ethereum Treasuries ถือรวมกว่า 12.14 ล้าน ETH มูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์
- Solana Treasuries ถือรวมกว่า 20.92 ล้าน SOL มูลค่า 4.55 พันล้านดอลลาร์
บทสรุป
Metaplanet ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาด Bitcoin หลังจากเดินหน้าเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2024 จนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ถือครอง Bitcoin องค์กรอันดับ 4 ของโลกได้สำเร็จ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงกระแสการยอมรับและการใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองในระดับองค์กรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปี 2025 และอาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยเร่งการเข้าสู่ตลาดกระแสหลักของคริปโตในอนาคต
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/metaplanet-top4-bitcoin-holder
CEO Bitwise ชี้ Solana อาจชิงความได้เปรียบ Ethereum ในตลาด Staking ETF
Hunter Horsley CEO ของ Bitwise ได้ออกมาให้ความเห็นว่า Solana (SOL) อาจมีความได้เปรียบเหนือ Ethereum (ETH) ในตลาด Staking Exchange-Traded Fund (ETF) เนื่องจากโครงสร้างของ Solana มีความเอื้อต่อนักลงทุนมากกว่า โดยเฉพาะเรื่อง ระยะเวลาในการถอนการสเตกกิ้ง (unstaking period) ที่รวดเร็วกว่า
Horsley กล่าวกับ Andrew Fenton บรรณาธิการจาก Cointelegraph ในงาน Token2049 ที่สิงคโปร์ ว่า การที่ Solana มีการเคลียร์คิวถอนที่รวดเร็ว ช่วยให้ผู้ออกกองทุน (issuers) สามารถคืนสินทรัพย์ให้นักลงทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของกองทุน
“นี่คือปัญหาใหญ่สำหรับ Ethereum” Horsley กล่าว “กองทุน ETF ต้องสามารถคืนสินทรัพย์ให้นักลงทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ Ethereum มีข้อจำกัดในส่วนนี้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่”
ปัญหาของ Ethereum: คิวถอนสเตกกิ้งยาวนาน
การสเตกกิ้งคือการล็อกเหรียญเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยเครือข่าย โดยผู้ที่สเตกจะได้รับรางวัลตอบแทน แต่ข้อเสียคือการถอนเหรียญอาจล่าช้า ขึ้นอยู่กับสภาพความต้องการของเครือข่าย
ข้อมูลล่าสุดเผยว่า:
- คิวการเข้าสเตก Ethereum เคยพุ่งสูงถึง 860,369 ETH ในเดือนกันยายน (สูงสุดตั้งแต่ปี 2023)
- ปัจจุบัน คิวเข้าสเตก อยู่ที่ราว 201,984 ETH ใช้เวลารอเฉลี่ย 3 วัน
- ขณะที่ คิวถอนออก นั้นยาวกว่า ใช้เวลารอถึง 34 วัน โดยมีเหรียญรอถอนมากกว่า 2 ล้าน ETH
เพื่อแก้ปัญหานี้ บางกองทุนเช่น Bitwise’s Ethereum staking ETP ในยุโรป ใช้กลยุทธ์ credit facility เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและรองรับการถอนอย่างทันท่วงที แต่ก็มีต้นทุนและข้อจำกัดในด้านปริมาณการให้บริการ
อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้ Liquid Staking Tokens (LSTs) เช่น stETH ของ Lido ซึ่งช่วยให้นักลงทุนยังคงมีสภาพคล่องแม้จะสเตกอยู่ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านการผูกกับโปรโตคอล
Solana กำลังรุกตลาด Staking ETF
ความได้เปรียบของ Solana ที่มี การถอนสเตกกิ้งรวดเร็ว อาจช่วยดึงดูดนักลงทุนและผู้ออกกองทุนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ SEC กำลังพิจารณาอนุมัติ ETF ที่มีฟีเจอร์ staking สำหรับทั้ง Solana และ Ethereum
ในเดือนตุลาคมนี้ คาดว่า SEC จะตัดสินใจเกี่ยวกับ ETF หลายตัว เช่น:
- Solana ETF จาก Bitwise, Fidelity, Franklin Templeton, CoinShares, Grayscale, Canary Capital และ VanEck
- Ethereum ETF บางส่วนถูกเลื่อนการพิจารณาออกไป เช่นของ Grayscale และ BlackRock iShares Ethereum Trust ซึ่งมีกำหนดชี้ขาด 30 ตุลาคม
ปัจจุบันมี 16 กองทุนที่เกี่ยวข้องกับคริปโต รอการตัดสินใจจาก SEC ภายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งอาจกำหนดทิศทางใหม่ให้กับตลาดคริปโต
ความคิดเห็นของ Hunter Horsley CEO Bitwise ชี้ว่า Solana อาจมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างเหนือ Ethereum ในตลาด Staking ETF เนื่องจากการถอนสเตกที่รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า ขณะที่ Ethereum ยังคงเผชิญความท้าทายด้านคิวถอนที่ยาวนาน
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/solana-vs-ethereum-staking-etf-sec-decision
Memecoin หมดยุค? นักลงทุนหันหลังให้เหรียญไร้สาระ แห่ซื้อโทเค็นที่มี Utility
ในปีที่ผ่านมา Memecoin ถือว่าเป็นตัวดึงดูดสำคัญให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้าสู่ตลาดคริปโต ด้วยความสนุกสนานและการเก็งกำไรที่รวดเร็ว เหรียญอย่าง Dogecoin, Shiba Inu, Pepe รวมถึงโครงการใหม่ ๆ เช่น WIF หรือ Fartcoin เคยสร้างกระแสการลงทุนสุดร้อนแรง แต่ล่าสุดทิศทางตลาดกลับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ดัชนี GMCI Memecoin ดิ่งยาว
ข้อมูลจาก GMCI Memecoin Index ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีของกลุ่มเหรียญ Memecoin แทบไม่ขยับและคงอยู่เพียง 220 จุด ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ลดลงอย่างมากจากจุดสูงสุด 600 จุด ในปีที่แล้ว ขณะที่ ดัชนีรวม Altcoin อันดับต้น ๆ 30 เหรียญ กลับทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน แสดงถึงความแตกต่างในความเชื่อมั่นของนักลงทุน
Dogecoin–Shiba Inu ยังฟื้นไม่ได้
แม้แต่เหรียญระดับตำนานในสาย Memecoin อย่าง Dogecoin, Shiba Inu และ Pepe ก็ยังไม่สามารถกลับมาเรียกความสนใจได้เหมือนก่อนหน้านี้ ภาพรวมของตลาดชี้ว่าความนิยมของ Memecoin กำลังค่อย ๆ จางหาย และถูกแทนที่ด้วยสินทรัพย์ที่มีการใช้งานจริง (Utility)
นักลงทุนหันหาสินทรัพย์ที่มี Utility
กระแสล่าสุดแสดงให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยเริ่มหันมามองหาโครงการที่ สร้างรายได้จริงหรือมีแผนพัฒนาโปรเจกต์ชัดเจน เช่น Stablecoin, DeFi หรือการโทเค็นไนซ์สินทรัพย์จริง (RWA) ตัวอย่างล่าสุดคือ โครงการ ASTER และ XPL ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับการตอบรับที่แข็งแกร่งจากตลาด
การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ลงทุนในคริปโต
เดิมที Memecoin เคยเป็น “ประตูเข้าสู่ตลาด” ของนักลงทุนหน้าใหม่ แต่ปัจจุบันผู้เข้าร่วมตลาดเริ่มมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยมองหาเหรียญหรือโปรเจกต์ที่มี โมเดลธุรกิจจริง ความสามารถในการสร้างรายได้ และมูลค่าในโลกความเป็นจริง มากกว่าการลงทุนเพื่อหวังกำไรเพียงระยะสั้น
อ้างอิง : theblock.co
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/memecoin-lose-mojo-utility-tokens
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
