TMAN รับเต็มคุมค่ายา จับตารพ. หันส่งออเดอร์

#ศุภจี #TMAN #ทันหุ้น – บิ๊ก TMAN ยอมรับนโยบาย “ศุภจี” ให้เปิดเผยต้นทุนและคุมราคายา เพิ่มทางเลือกประชาชนซื้อข้างนอก ที่ถูกกว่า จะส่งผลดีวงกว้าง ทำโรงพยาบาลชาร์จราคาสูงยากขึ้น มีโอกาสหันมาใช้ยาของบริษัทที่คุณภาพดี ราคาย่อมเยา เพิ่มมาร์จิ้นแทน พร้อมเจาะตลาดเพิ่ม ชูยอดขายไตรมาส 3 เด่นตามฤดูกาล ด้านกูรูเชื่อกลุ่มโรงพยาบาลร่วงแค่จิตวิทยา มองกระทบไม่มาก ชู BCH และ BDMS
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจผลิต จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยา รายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ถึงกรณีที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแนวคิดให้โรงพยาบาลเปิดเผยราคายา ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น รวมถึงต้องให้ประชาชนผู้ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนมีทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลที่ราคาถูกกว่า นโยบายดังกล่าวหากดำเนินการได้จริงย่อมเป็นผลดีกับประชาชนโดยรวม
โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันต้นทุนยาของโรงพยาบาลเอกชน หากคิดแค่เฉพาะตัวยาจริงๆ โดยไม่คำนึงถึงมิติด้านต้นทุนแฝงอื่นๆ แล้ว มองว่าต้นทุนไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับราคาขายที่ผู้ใช้บริการจ่ายชำระ แต่สาเหตุที่โรงพยาบาลสามารถชาร์ตค่าพรีเมียมได้สูงเนื่องจากปัจจัยด้านระบบนิเวศ มีการบวกเผื่อต้นทุนบริการทางการแพทย์ และต้นทุนบริการแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องเข้าไปด้วย
ดังนั้น ถ้าต่อไปมีการแจ้งผู้ประกอบการให้แจงต้นทุนการซื้อยาเทียบกับราคาที่เรียกเก็บจากผู้ป่วย และรัฐบาลเข้ามากำหนดราคาควบคุม โรงพยาบาลจะไม่สามารถชาร์ตค่าพรีเมียมได้สูงแบบเดิมอีกต่อไป
@ TMAN จ่อรับอานิสงส์
ในทางกลับกันผู้ผลิตยาในประเทศที่ผลิตยาสามัญ หรือ Generic Drugs ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว Generic Drugs ของผู้ผลิตในประเทศมีราคาถูกกว่ายา Original Drugs อยู่แล้ว จะกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์ในโอกาสของการเป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยากว่า อีกทั้งเมื่อโรงพยาบาลเอกชนไม่สามารถบวกกำไรจากยา Original Drugs ที่มีราคาสูงได้มากเท่าเดิม โรงพยาบาลอาจเลือกใช้ยาที่มีราคาถูกกว่าไปเลยเพราะคุณภาพเท่ากัน เพื่อสามารถรักษาส่วนต่างของกำไรที่ดีกว่าไว้ได้
อีกทั้งการนำยาในประเทศไปทดแทนยาต่างประเทศน่าจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ง่ายที่สุด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น TMAN น่าจะเป็นบริษัทที่เข้าข่ายได้อานิสงส์นี้ ด้วยการมีสินค้าคุณภาพมาตรฐาน จะเน้นไปที่กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic), ยาประเภทครีม, และยากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน และโรคหัวใจ
สอดคล้องกับที่บริษัทมีฐานลูกค้าโรงพยาบาลรวมแล้วประมาณกว่า 1,000 แห่ง ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน และมีการตั้งทีมงานการขยายฐานในโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นทั้งในแง่รายการสินค้ายา และจำนวนโรงพยาบาล หากนโยบายนี้มีความชัดเจนในรายละเอียด และมีการเร่งรัดในเชิงปฏิบัติจะทำให้การนำเสนอผลิตภัณฑ์และการเป็นคู่ค้ากับโรงพยาบาลเอกชนง่ายขึ้น
ประจวบกับระยะหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดการระบาดของโรค RSV, ไข้หวัดใหญ่ และโรคมือเท้าปาก ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทในช่วงนี้กลับดีมากสวนทางตลาดร้านขายยาโดยรวมจะค่อนข้างซบเซา ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนยอดขายทั้งไตรมาส 3/2568 และทั้งปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ขยายตัว 10-15%
@ ประเมินกลุ่มรพ.
นายนนทพัฒน์ สหกิจภิญโญ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า กลุ่มโรงพยาบาลจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านยา แต่น่าจะไม่มากอย่างมีนัยต่อผลประกอบการ ส่วนผู้ผลิตและจำหน่ายยามีโอกาสที่จะได้ประโยชน์บ้างเช่นกัน
ในความเป็นจริงปัจจุบันผู้ป่วยมีช่องทางซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลได้อยู่แล้วหากมีใบสั่งยาจากแพทย์ เพียงแต่ยังเป็นข้อมูลที่ไม่แพร่หลายมากนัก นโยบายนี้อาจเป็นเพียงการสร้างความตระหนักให้คนทั่วไปเลือกใช้สิทธิตนเองเพื่อประหยัดมากขึ้น
ส่วนการคุมราคายาในระดับที่ให้โรงพยาบาลจำเป็นต้องลดราคายาลงมาเลยนั้นในทางปฏิบัติไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้นจริง เบื้องต้นยอมรับว่าไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ชัด เนื่องจากมาตรการยังมีความซับซ้อนที่ต้องรอติดตามในรายละเอียด
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นโยบายกระทรวงพาณิชย์แม้ยังไม่มีความชัดเจนของรายละเอียด แต่อาจสร้างแรงกดดันต่อจิตวิทยาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลได้ เบื้องยังคงแนะนำหุ้นโรงพยาบาล ได้แก่ BCH และ BDMS ราคาเป้าหมาย 16.50 และ 32.00 บาท ตามลำดับ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
