BCP เฉลยปมรุกหนัก ขอฟื้นหุ้นเพื่อทุกราย

#BCP #ทันหุ้น – “บิ๊ก BCP” รับราคาหุ้นบริษัทต่ำกว่าความเป็นจริง ยอดขายสินทรัพย์โต 6 เท่า แต่ราคาหุ้นยังเท่าเดิม พร้อมเดินหน้าฟื้นหุ้นเพื่อผู้ถือหุ้นทุกราย ชี้ได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดทั้ง 15 รายในการวางเกมทั้งซื้อหุ้นคืน สร้างอีบิทดาโต 100% ชูการรวมกลุ่มน้ำมันจะทำให้ซินเนอร์นี่ดันอีบิทดาเด้ง เปิดแผนลงทุนเทคโนโลยี เรียนรู้ทางลัดแต่กำไร ล่าสุดศึกษา e-Fuel
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ยอมรับว่า ราคาหุ้น BCP นับว่าต่ำกว่าความเป็นจริง ดังนั้นหน้าที่หลักต้องการตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นทุกราย ไม่ได้โฟกัสรายใดรายหนึ่ง
ซึ่งจากข้อมูลในอดีตบริษัทมียอดขายแสนล้านบาท สินทรัพย์ 5 หมื่นล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 30 บาท แต่ปัจจุบันยอดขาย 6 แสนล้านบาท สินทรัพย์ 3 แสนล้านบาท แต่ราคาหุ้นยังคงอยู่ที่ประมาณ 30 บาท ทุกอย่างเติบโตขึ้น รวมถึงกำไร และบริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2563 หลังโควิด การเติบโตมากกว่า 15% และอาจถึง 20-30% ต่อปี แต่ราคาหุ้นอยู่ในระดับนี้มานานไม่ตอบสนองต่อพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับคำแนะนำและการวิเคราะห์จากหลายฝ่าย เช่น Investment Banker, Analyst, Fund Managers, และ ที่ปรึกษาธุรกิจ ว่า บริษัทอาจถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ความจริงบริษัทเป็นหุ้นเติบโต ซึ่งมาตรการต่างๆ ที่ออกมาทั้งการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างการเติบโตซึ่งตั้งเป้าอีบิทดาเติบโตเท่าตัวใน 3 ปี รวมถึงมาตรการเตรียมซื้อหุ้นคืน 3 ปีติดต่อกัน ก็เป็นการตอบโจทย์ดังกล่าว และเพื่อทำให้พนักงานต้องการเป็นเจ้าของบริษัทด้วย โดยทำอย่างถูกต้องได้หารือและอนุมัติโดยคณะกรรมการบริษัททั้ง 15 ราย
@ แผนโตครั้งใหญ่
สำหรับการสร้างการเติบโตของบริษัท นายชัยวัฒน์ ย้ำว่า ได้จัดเตรียมเงินลงทุนก้อนใหญ่สำหรับ 3 ปีข้างหน้าไว้ประมาณ 30,000 ถึง 40,000 ล้านบาท โดยดำเนินการรวมศูนย์ธุรกิจการผลิตกลั่นน้ำมันและการขายเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดความร่วมมือที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งซัพพลายเชน ซึ่งจะเป็นส่วนหลักในการเพิ่มอีบิทดาได้มากขึ้น บริษัทยังไม่มีแนวคิดหาต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัท เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงส่งต่อวัฒนธรรมหลังเข้าซื้อธุรกิจ (เอสโซ่) กังวลว่าจะมีความแปลกแยกของวัฒนธรรม และมองว่ากลยุทธ์ Consolidation จากการรวมศูนย์ น่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า การแยกส่วนที่จะทำให้มีอาณาจักรของตัวเอง การทำงานร่วมกันเป็น Synergy มีน้อยลง
ขณะเดียวกันบริษัทจะมีการสร้างเครื่องยนต์ใหม่ในการทำรายได้มากขึ้นคือธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading) โดยบริษัทสามารถขยายขอบเขตการเทรดออกไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้นไม่จำกัด และสามารถเทรดดิ้งได้ทั่วโลก ทั้งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เชื้อเพลิงสังเคราะห์ SAF รวมถึง Biofuel ซึ่งธุรกิจเทรดดิ้งนี้จะมีการเติบโตสูง มีการตั้วสำนักงานเทรดดิ้งตั้งอยู่ที่ดูไบแล้ว รวมไปถึงบริษัทยังยืนยันเดินหน้าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ได้เริ่มแล้วที่ประเทศนอร์เวย์ และตั้งเป้าดำเนินธุรกิจนี้ในภูมิภาคอาเซียน
@ ฉลาดลงทุน
นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าในการศึกษาและลงทุนพลังงานแห่งอนาคต ซึ่งจะต่อยอดธุรกิจในอนาคต ผ่านกองทุน CVC โดยบริษัทได้เตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในธุรกิจที่มีอนาคต นายชัยวัฒน์ อธิบายว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นวิธีเรียนลัด เนื่องจากหากบริษัทต้องลงทุนวิจัยตั้งแต่เริ่มต้น (ตั้งแต่ 0 จนถึง 10) จะต้องใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมาก โดยหลักการเข้าลงทุนจะเข้าลงทุนในเทคโนโลยีที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่จะเข้าลงทุนในเทคโนโลยีที่อยู่ใน “ระดับ 3” ซึ่งหน้าที่ของบริษัทคือการ “ช่วย Scale Up” หรือ ขยายขนาด โครงการนั้นๆ และตรวจสอบดูว่าสามารถขยายขนาดได้จริงหรือไม่ และมีความสามารถในการแข่งขันได้หรือไม่
“ด้วยงบประมาณหลักพันล้านบาท บริษัทอาจสามารถลงทุนในโครงการเล็กๆ ได้มากถึง 80 โครงการ ซึ่งทำให้ไม่ต้องจ้างวิธีวิจัยเองทั้งหมด โครงการนี้เราไมได้มุ่งหวังเพียงการวิจัย แต่บริษัทยังหวังว่าจะได้รีเทิร์นด้วย เพราะการวิจัยและพัฒนาที่ดีจะนำไปสู่การลงทุนต่อยอดได้ในที่สุด และทุกครั้งที่มีการลงทุน จะมี คณะกรรมการ เข้ามานั่ง กลั่นกรอง และ วิเคราะห์ เพื่อพิจารณาว่า โครงการนั้น เป็นไปได้จริงหรือไม่ มีโอกาส Scale Up หรือไม่ มี ตลาด รองรับหรือไม่ และจะดูเฉพาะโครงการที่ “ได้จริงๆ” เพื่อต่อยอด และป้องกันไม่ให้เงินลงทุนสูญเปล่า”
@ ศึกษา E-fuel
นอกจากเชื้อเพลิงอากาศยานเพื่อความยั่งยืน หรือ SAF และน้ำมันไบโอแล้ว ล่าสุดบริษัทกำลังศึกษาในนวัตกรรม เชื้อเพลิงสังเคราะห์ หรือ e-Fuel (Synthetic Fuel) ซึ่งทาง ENEOS บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ได้ทดลองเติมในรถโดยสารไปงาน EXPO 2025 มาแล้ว และจะเป็นคำตอบสุดท้ายของการลดโลกร้อน เนื่องจาก e-Fuel ทำมาจาก ไฮโดรเจน และ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกดักจับ และมีลักษณะเป็นเชื้อเพลิงเหลว นำไปเติมในเครื่องยนต์น้ำมันได้ทันที ปัจจุบันมีพาหนะรถยนต์ทั่วโลกประมาณ 1,500 ล้านคัน ซึ่งในจำนวนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อยู่ไม่น่าจะถึง 20 ล้านคัน e-Fuel สามารถเติมเข้าถังน้ำมันของรถยนต์ 1,500 ล้านคันได้ทันที
แต่อุปสรรคคือ ปัจจุบัน e-Fuel ยัง แพงมาก สูงประมาณ 8-9 เท่า ของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล ต้นทุนที่แพงที่สุดคือ ค่าไฟฟ้า ที่ใช้ในการแยกโมเลกุลน้ำเพื่อให้ได้ไฮโดรเจน ปัจจุบัน e-Fuel เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นบทบาทของบริษัทคือการเฝ้าติดตาม แต่จะเข้าดำเนินการและผลิต e-Fuel เมื่อเทคโนโลยีเริ่มมีความสามารถในการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ คาดการณ์ว่ปี 2583 อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมที่จะขอทุนภาครัฐเพื่อเริ่มดำเนินการทดลอง นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมศึกษาเดินหน้า Biofuel Generation 2 การใช้เทคโนโลยีในการผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบอื่นที่ไม่ใช่อาหาร เช่น เศษกระดาษ, ฟางหญ้า, รากไม้, หรือ ชานอ้อย ปัจจุบันต้นทุนการผลิต Biofuel Gen 2 ยัง สูงกว่าประมาณ 2-3 เท่า และบริษัทหวังว่าเทคโนโลยีจะมีการพัฒนาจนสามารถแข่งขันได้ภายใน 3 ปีถึง 5 ปีข้างหน้า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
