CHOW รุกหนักโซลาร์เซลล์ ลุ้นคว้าเพิ่ม 200 เมกะวัตต์

#CHOW #ทันหุ้น – CHOW เดินหน้าขยายธุรกิจโซลาร์เซลล์ พุ่งเป้ากลุ่มพาร์ตเนอร์ชิป แย้มอยู่ระหว่างการเจรจาอีกกว่า 200 เมกะวัตต์ ปักธงดันกำลังผลิตแตะ 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570 ด้านธุรกิจเหล็กกลับมาเปิดโรงงานแล้ว ออเดอร์ไหลเข้าเพียบ
นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังเดินหน้าขยายธุรกิจโซลาร์เซลล์ โดยล่าสุดติดตั้งให้กับ JPARK ในรูปแบบ Partnership ซึ่งเป็นการทำสัญญา PPA หรือสัญญาซื้อขายไฟระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการทำ Partnership กับทาง LOXLEY ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และสามารถช่วยหาลูกค้าที่ต้องการใช้ไฟฟ้าได้ โดยบริษัทจะติดระบบโซลาร์ให้
@ มาร์จิ้น 6-10%
ทั้งนี้ในธุรกิจโซลาร์เซลล์โดยทั่วไปจะมีมาร์จิ้นอยู่ประมาณ 6-10% ซึ่งกลยุทธ์หลัก คือ บริษัทจะเน้นดูแลกลุ่มลูกค้าของ Partnership เป็นหลัก โดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพูดคุยเจรจารวมประมาณ 200 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมโครงการที่มีหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) แล้ว ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2570 จะมีกำลังการผลิตแตะระดับ 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มี 140 เมกะวัตต์
ถึงแม้ธุรกิจโซลาร์จะเป็นตลาดที่ Red Ocean แต่ภายในธุรกิจโซลาร์มีหลายกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น ตลาด Government PPA ใหญ่ที่มีการประมูลเป็นระดับกิกกะวัตต์ จะมีเจ้าตลาดอย่าง GULF, GUNKUL ซึ่งบริษัทเองได้เข้าร่วมประมูลด้วย แต่ส่วนแบ่งตลาดอาจจะไม่มาก แต่สิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าตลาด คือ ในส่วนของ Private PPA หรือ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากระบบโซลาร์เซลล์
ในเชิงของการติดตั้งบริษัทได้ติดตั้งแล้วทั้งหมด 77 จังหวัดทั่วประเทศ และมีผลงานประมาณ 10,000 กว่าไซซ์ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็น B2B ไซซ์ของโครงการมีตั้งแต่ 300 กิโลวัตต์ จนถึงระดับ 10 เมกะวัตต์ ซึ่งบางโรงงานที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ แต่อยู่ต่างจังหวัดมีพื้นที่ที่ถูกทำเป็นฟาร์มโซลาร์เซลล์ โดยไม่จำเป็นต้องติดบนหลังคาอย่างเดียว ซึ่งบริษัทรับติดตั้งหลายแบบ
ทั้งนี้ลักษณะธุรกิจจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ รายได้จากค่าไฟ (PPA) ซึ่งเป็นรายได้สม่ำเสมอ และรายได้จาก EPC หรือเป็นรายได้จากการพัฒนาโครงการและส่งมอบให้เจ้าของโครงการ ซึ่งจะเป็นเงินก้อนใหญ่ และช่วยเพิ่มกำไรในแต่ละปีได้
@เหล็กออเดอร์เพียบ
ในส่วนธุรกิจเหล็กจะรับหน้าที่เป็นตัวสร้างกระแสเงินสด ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าไม่ได้โดดเด่น ประกอบกับการใช้เหล็กในประเทศไทยจะเน้นการนำเข้ามากกว่า แต่เหล็กที่เป็นเส้นตรงยาวที่เป็นสินค้าหลักของบริษัทได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กจีนค่อนข้างน้อย โดยส่วนใหญ่ เหล็กนำเข้าจากจีน 85% เป็นเหล็กแผ่น และ 15% เป็นเหล็กเส้นตรง
ขณะที่โรงงานเหล็กที่ได้ปิดปรับปรุงไป ได้กลับมาเริ่มดำเนินการแล้ว และคาดว่าผลงานในช่วงไตรมาส 4/2568 จะสามารถชดเชยส่วนที่ขาดหายไปได้ เนื่องจากมีปริมาณออเดอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก และมั่นใจว่าทั้งปีนี้ธุรกิจเหล็กจะยังสามารถสร้างผลกำไรได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
