รีเซต

APP โดดรับรถเปลี่ยนโมเดล บุ๊กแบ็กล็อกครึ่งหลัง 150 ล.

APP โดดรับรถเปลี่ยนโมเดล บุ๊กแบ็กล็อกครึ่งหลัง 150 ล.
ทันหุ้น
30 กันยายน 2568 ( 23:50 )
11

                นายประกิจ  เหล่าบุญเจริญ  กรรมการบริหาร บริษัท แอพพลิแคด จำกัด (มหาชน) หรือ APP เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า บริษัทก่อตั้งมากว่า 30 ปี เริ่มจากการเป็นผู้แทนจำหน่ายซอฟต์แวร์ออกแบบ 3D (SolidWorks) ตั้งแต่ปี 1997 ในยุคที่เทคโนโลยีนี้ยังใหม่ในประเทศไทย ต่อมาได้ต่อยอดสู่การทำธุรกิจ Rapid Prototype ก่อนพัฒนาเป็นการผลิตจริงด้วย 3D Printing และล่าสุดขยายสู่ Robotics และ Automation ที่สอดคล้องกับแนวโน้ม Industrial 5.0

                ขณะที่ยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ 3D Printing มากที่สุด เดิมใช้เฉพาะทำต้นแบบ แต่ปัจจุบันสามารถผลิตชิ้นส่วนจริงได้แล้ว แม้ยังมีข้อจำกัดเรื่องวัสดุและเวลา แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทำให้ปัจจุบันผลิตชิ้นงานจากที่เคยใช้ 20–30 ชั่วโมง เหลือเพียงหลักนาที อีกทั้งคุณภาพ End Part ของ 3D Printing มีความแม่นยำระดับไมครอน และแทบไม่ต่างจากชิ้นงานที่ผลิตด้วยเครื่องฉีดพลาสติก

                อย่างไรก็ตามโอกาสทองของ Low Volume Production กำลังมาถึง เนื่องจากค่ายรถยนต์เปลี่ยนโมเดลบ่อยขึ้นและผลิตน้อยลง การใช้เครื่องฉีดพลาสติกต้องลงทุนแม่พิมพ์หลักล้านบาทต่อชิ้นงาน แต่ 3D Printing ไม่ต้องใช้แม่พิมพ์ ช่วยลดต้นทุนตั้งต้นมหาศาล อีกทั้งยังตอบโจทย์การผลิตชิ้นส่วนซับซ้อนที่เทคนิคเดิมไม่สามารถทำได้

                ด้าน การแพทย์ APP ประสบความสำเร็จในโครงการ 3D Medical Hub ที่โรงพยาบาลเลิดสิน โดยใช้ 3D Printing ออกแบบเครื่องมือผ่าตัด ผลิตอุปกรณ์ดามกระดูกจากข้อมูล CT Scan และสร้างเนื้อเยื่อจำลองเพื่อใช้ฝึกผ่าตัดแทนอาจารย์ใหญ่ที่ขาดแคลน ที่สำคัญยังสามารถผลิตชิ้นส่วนทดแทนในร่างกาย เช่น ชิ้นส่วนกะโหลกไททาเนียม จากข้อมูล CT/MRI ที่ร่างกายยอมรับได้ สะท้อนโอกาสเติบโตของธุรกิจ Healthcare Technology

                ในส่วนธุรกิจ Robotics APP ได้ทำตลาดราว 2–3 ปีและเติบโตเร็ว โดยเฉพาะ Collaborative Robot (Cobot) ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย ต่างจากหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรุ่นเก่าที่ต้องกั้นรั้วเพราะแรงมากและเสี่ยงอันตราย Cobot จะหยุดทำงานเมื่อสัมผัสกับมนุษย์ ช่วยให้โรงงานไม่ต้องลงทุนปรับเลย์เอาต์ใหม่ทั้งหมด และเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิตได้ทันที

                เทคโนโลยีนี้ถือเป็น หัวใจของ Industrial 5.0 ที่ผสานคนและเครื่องจักรเข้าด้วยกัน แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทย และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ

                นายประกิจ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมี Backlog 100–150 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ในไตรมาส 3–4 ของปีนี้ ขณะที่สัดส่วนรายได้มาจาก Recurring Income 40% และ Project Base 60% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะดัน Recurring Income สู่ 50% ภายในปี 2569

                “รายได้ประจำเป็นหัวใจของความยั่งยืน เราตั้งเป้าเพิ่ม Subscription Service ต่อเนื่อง พร้อมลงทุนเครื่องจักร 3D Printing รุ่นใหม่ และขยายโรงงาน Rapid Prototype ที่เพิ่งย้ายไซส์ เพื่อรองรับดีมานด์ในอนาคต” คุณประกิจ กล่าว

                ด้านสถานะการเงิน APP มีเงินสดในมือเพียงพอและกำลังพิจารณาการลงทุนใหม่ ๆ โดยยึดหลักระมัดระวัง แต่ยืนยันว่าจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง “ทีมผู้บริหารคิดทุกวันว่าจะใช้เงินทุนอย่างไรให้คุ้มค่าและสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น แม้เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน แต่เรามั่นใจว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลักของเรา จะสร้างการเติบโตระยะยาวให้ APP” นายประกิจ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง