รัฐบาล-เอกชนจับมือ รับมือศึกการค้าโลก หวั่นไทยติดเป้าโดนภาษีสหรัฐฯ รอบใหม่

เมื่อ "โดนัลด์ ทรัมป์" กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง มาตรการกีดกันทางการค้าก็ถูกเร่งเครื่องอีกครั้ง—คราวนี้แรงกว่าเดิม ภาคส่งออกไทยจึงต้องเร่งตั้งรับ ก่อนกลายเป็นเป้าในสมรภูมิเศรษฐกิจโลก
บนเวทีเสวนาเศรษฐกิจ “แผนปั้นจีดีพีไทย ฝ่าด่านภาษีทรัมป์” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมถอดบทเรียน-วิเคราะห์สถานการณ์จริง พร้อมเสนอแผนเจรจาและรับมืออย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐฯ อาจหันกลับมาตั้งกำแพงภาษี “ประเทศดุลเกิน” ไทยเสี่ยงเป็นเป้าถูกลงโทษ
• เอกชนห่วงปัญหาสวมสิทธิ์ส่งออกจากจีน ใช้ไทยเป็นฐานหลบภาษี
• รัฐบาลวางแผนนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น พลังงาน-วัตถุดิบ เพื่อสร้างสมดุลการค้า
• เสนอใช้ข้อได้เปรียบด้านแปรรูปอาหาร–เพิ่มการผลิตในประเทศ
• เตรียมขยายฐานภาษี–ลดหนี้ครัวเรือน สร้างกำลังซื้อภายใน
ไทยอาจถูกเล็งภาษี เพราะเกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูงเกิน 45,000 ล้านเหรียญ
นายเกรียงไกร เริ่มต้นด้วยความกังวลว่า “วันนี้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงมาก จาก 20,000 กว่าล้านเหรียญในยุคทรัมป์รอบแรก เป็นกว่า 45,000 ล้านเหรียญในปี 2567” ซึ่งทำให้ไทยถูกจับตาเป็น “ประเทศเป้าหมาย” เช่นเดียวกับจีน เวียดนาม และเม็กซิโก
ยิ่งไปกว่านั้น การสวมสิทธิ์ส่งออก—ที่มีสินค้าจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ โดยไม่เปลี่ยนกระบวนการผลิตจริง—อาจทำให้ไทยเสียเครดิตทางการค้า “อเมริกามองว่าของส่งออกจากไทยบางส่วนคือสินค้าจีนแปลงร่าง ซึ่งเสี่ยงต่อมาตรการภาษีขั้นสูงในอนาคต”
แผนเจรจานำเข้าสินค้าจำเป็น เพื่อสมดุลการค้าและราคาภายใน
รองนายกฯ พิชัย ระบุว่า รัฐบาลไทยกำลังใช้ “กลยุทธ์นำเข้าเชิงรุก” โดยเน้นสินค้าที่จำเป็น เช่น ก๊าซธรรมชาติ อาหารสัตว์ ข้าวโพด “ของที่เราขาดอยู่พอดี และใช้ในอุตสาหกรรมของเราเอง” เพื่อสร้างสมดุลการค้า ลดแรงกดดันจากดุลการค้าเกิน
“เราจะไม่ยอมให้สินค้าต่างชาติทะลักเข้ามาโดยไม่เลือก แต่จะเลือกเฉพาะที่เราขาด ที่มีคุณภาพดี ราคาดีกว่าทุนเรา และสร้างการผลิตภายในได้จริง”
ไทยได้เปรียบ “แปรรูปเก่ง” ใช้กำลังการผลิตที่เหลือดันส่งออก
นายพิชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ไทยใช้กำลังการผลิตด้านอาหารเพียง 60-70% เท่านั้น หากนำเข้าวัตถุดิบที่เหมาะสมได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออก
“เราทำอาหารแปรรูปได้ดีทั้งคนและสัตว์ แต่ติดที่วัตถุดิบยังไม่พอ หากนำเข้ามาได้ราคาถูก ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปก็จะมากขึ้น ราคาขายดีขึ้น และลงทุนไม่ต้องเพิ่มเยอะ เพราะโรงงานมีอยู่แล้ว”
ลดหนี้–เพิ่มกำลังซื้อ เสริมฐานเศรษฐกิจภายใน
ในการตอบคำถามเรื่องภาวะหนี้ครัวเรือน นายพิชัยระบุว่า “ปัญหาไม่ใช่ยอดหนี้เท่าไหร่ แต่อยู่ที่ใครเป็นหนี้ และจ่ายไหวหรือไม่”
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มีคนกว่า 5.4 ล้านคนที่ติดค้างหนี้ โดย 3 ล้านคนเป็นหนี้ไม่เกินแสนบาท และไม่มีหลักประกัน “ถ้าเราช่วยเคลียร์ก้อนนี้ได้ คนกลุ่มใหญ่จะกลับมามีกำลังซื้อ” เขายังกล่าวถึงแผน “ลดพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่คุ้มทุน” และ “ยกระดับราคาข้าวให้สะท้อนต้นทุนจริง” เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร และพลิกฐานบริโภคในประเทศ
ตั้งด่านกัน “ของทะลัก–สวมสิทธิ์” พร้อมจัดโครงสร้างภาษีใหม่
ฝ่ายรัฐบาลย้ำว่ากำลังปรับเกณฑ์ B.O.I. และกติกาส่งออกให้เข้มงวดขึ้น สินค้าที่ไม่ได้ผลิตจริงในไทย หรือแค่แปะฉลากใหม่จะไม่ผ่าน “เราจะดูว่าเปลี่ยนพิกัดสินค้าได้หรือไม่ มีการแปรรูปจริงหรือไม่ ไม่ใช่เอาของจีนมาแปะชื่อไทยแล้วส่งไปอเมริกา”
พร้อมกันนั้น ยังมีการเตรียมออกกฎหมายใหม่ เช่น สัญญาเช่าที่ดิน 99 ปีแบบไม่มีสิทธิถือครอง เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติอย่างถูกกฎหมาย “ของที่ควรควบคุม ต้องควบคุม ของที่เปิดได้ ก็เปิดให้โปร่งใสขึ้น”
ปั้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ส่งออก แต่ต้อง “ซ่อมโครงสร้างในบ้าน”
เมื่อโลกไม่เหมือนเดิม เศรษฐกิจที่พึ่งพาแต่การส่งออกก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ รัฐบาลและภาคเอกชนจึงต้อง “เปลี่ยนเกม” ทั้งการวางหมากระหว่างประเทศ และการซ่อมโครงสร้างในประเทศ
หากไทยสามารถบริหารดุลการค้าอย่างชาญฉลาด ขยายฐานภาษี ลดภาระหนี้ และใช้จุดแข็งในห่วงโซ่การผลิตให้เป็นประโยชน์ ประเทศไทยก็อาจไม่เพียง “รอด” จากภาษีทรัมป์ แต่ยัง “โต” ได้ในเวทีเศรษฐกิจโลก