ช่างภาพรอยเตอร์ถูกสังหาร เผยภาพสุดท้ายกลางสมรภูมิอัฟกานิสถาน
ช่างภาพรอยเตอร์ถูกสังหาร -รอยเตอร์ รายงานสารคดีข่าวไว้อาลัยโศกนาฏกรรมชีวิตช่างภาพหนุ่มในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ถ่ายทอดภาพข่าวกลางแดนสงคราม แต่ต้องจบชีวิตลงเมื่อถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
แดเนียล ซิดดิกี อายุ 38 ปี เริ่มอาชีพช่างภาพสื่อมวลชนกับรอยเตอร์ และทิ้งผลงานชิ้นสุดท้ายกับสำนักข่าวใหญ่ของอังกฤษ ก่อนสังเวยให้กับสมรภูมิที่ตาลิบันเข้ายึดครอง
ภาพข่าวสุดท้ายกลางสมรภูมิรบในอัฟกานิสถานไวรัลไปทั่วโลก พร้อมๆ กับคำถามที่มีคนสงสัยกันมากว่าเหตุใดต้นสังกัดจึงส่งซิดดิกีไปทำงานเสี่ยงอันตราย
ซิดดิกี เกิดเมื่อปี 2526 และเติบโตในอินเดีย เริ่มเข้าสู่แวดวงสื่อระดับโลกกับรอยเตอร์ด้วยการเป็นช่างภาพฝึกหัดในกรุงเดลี ปี 2553 ก่อนย้ายไปประจำที่มุมไบซึ่งทำงานที่เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอินเดียอยู่เกือบ 10 ปี
เคยฝึกการรายงานในสภาพแวดล้อมอันตรายและเคยทำงานช่างภาพเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารในอัฟกานิสถานและอิรัก รวมทั้ง ถ่ายทอดชีวิตของชาวโรฮิงยาจนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
ซิดดิกีกล่าวว่า ตนเองไม่เคยหวาดกลัว แม้ต้องทำงานเสี่ยงอันตราย จนกระทั่งมีลูก 2 คน อายุ 5 ปีและ 3 ปี จึงเริ่มกลัวและกลัวมากขึ้นถึงความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง
แต่เมื่อเกิดเหตุกลุ่มตาลิบันบุกยึดอัฟกานิสถาน ซิดดิกีเสนอตัวไปทำงานโดยกล่าวกับบรรณาธิการและผู้จัดการหลายคนของรอยเตอร์ว่า “ถ้าเราไม่ไป แล้วใครจะไป” พร้อมกับให้คำมั่นว่า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าจะถอนตัวเมื่อไหร่”
ซิดดิกีออกเดินทางจากอินเดียไปยังเมืองกันดาฮาร์ เมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่กงสุลใหญ่อินเดียในเมืองกันดาฮาร์อพยพชาวอินเดียกลับประเทศเนื่องจากการสู้รบรุนแรงขึ้นและขยับเข้าใกล้เมืองกันดาฮาร์ทุกขณะ แต่ซิดดิกีกลับมุ่งหน้าไปฐานทัพของกองกำลังพิเศษ
ต่อมา วันอาทิตย์ที่ 13 ก.ค. ซิดดิกีติดตามทหารกองกำลังพิเศษไปช่วยเหลือตำรวจนายหนึ่งที่ถูกตาลิบันล้อมไว้ซึ่งช่วยเหลือออกมาได้สำเร็จ แต่ระหว่างที่เดินทางกลับฐานทัพ ขบวนรถถูกจรวดอาร์พีจีโจมตี รถฮัมวีคันหนึ่งถูกอาร์พีจียิง ส่วนอีก 3 คันเสียหาย
ซิดดิกีถ่ายคลิปวิดีโอนาทีระทึกขวัญได้และส่งภาพพร้อมกับรายงานกลับไปให้รอยเตอร์ ก่อนที่จะแชร์ในทวิตเตอร์
ด้านอาห์หมัด มาซูด บรรณาธิการภาพภูมิภาคเอเชียของรอยเตอร์ ประจำสำนักงานที่สิงคโปร์ ตระหนักว่าช่างภาพข่าวตกอยู่ท่ามกลางอันตราย จึงถามกลับไปว่าอยากจะทำงานต่อหรือไม่ ซึ่งซิดดิกียืนยันว่าจะทำงานต่อ มาซูดจึงสั่งให้ติดตามภารกิจประจำวันของกองกำลังพิเศษพร้อมกับกำชับให้ซิดดิกีระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยและให้อยู่ในฐานทัพกันดาฮาร์ 24 ชั่วโมง
วันที่ 14 ก.ค. กลุ่มตาลิบันรุกเข้ามาใกล้เขตสปินโบดักในกันดาฮาร์ซึ่งติดชายแดนปากีสถาน
จากนั้น วันที่ 15 ก.ค. กองกำลังพิเศษชวนซิดดิกีให้ติดตามเจ้าหน้าที่ที่พยายามยึดเมืองคืน ช่างภาพสื่อมวลชนใจกล้าจึงขออนุญาตมาซูดเพื่อลงพื้นที่
หลังจากรอยเตอร์หารือกันอย่างหนัก สุดท้ายจึงเปิดไฟเขียวให้ช่างภาพฝีมือดีไปทำงานได้เพราะเห็นว่าเขามีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนมาแล้ว อีกทั้ง เขาเป็นชาวอินเดียซึ่งน่าจะเข้าใจสถานการณ์และปัจจัยความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
ลำดับเหตุการณ์วันสุดท้ายของชีวิตซิดดิกี
7.30 น. ซิดดิกี รายงานว่าเกิดการสู้รบกันอย่างหนัก รถของเขาไปต่อไม่ได้เพราะถนนปิด ระหว่างนั้น ช่างภาพสื่อกดชัตเตอร์รัวๆ 97 ภาพภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเป็นภาพกลุ่มควันที่เกิดจากการยิงจรวดและการยิงปืนถล่มตึกที่อยู่ด้านซ้าย หน่วยคอมมานโดสู้กับกลุ่มตาลิบัน ขณะที่ซิดดิดีลงจากรถ
7.34 น. เป็นเวลาที่ซิดดิกีถ่ายภาพสุดท้ายแสดงให้เห็นหน่วยคอมมานโดหมอบอยู่หลังกำแพงและยิงจรวดอาร์พีจี
7.41 น. ซิดดิกีส่งข้อความเสียงถึงมาซูดว่ารถที่เขาถูกยิง เศษกระสุนพุ่งเข้าไปด้านหลังของแขนซ้าย ก่อนส่งโทรศัพท์ไปให้ทหารคนหนึ่งซึ่งยืนยันว่าแผลไม่ลึกและกำลังพาซิดดิกีออกจากที่เกิดเหตุ
7.53 น. ซิดดิกีติดต่อเพื่อนนักข่าวสื่อมวลชนในกรุงคาบูลและกล่าวว่าเขาหลบอยู่ในมัสยิด
7.59 น. ซิดดิกีส่งสถานที่อยู่หรือโลเคชันให้มาซูดผ่านโทรศัพท์มือถือและกล่าวว่าแค่เจ็บแผล
จากนั้น มาซูดและทีมรอยเตอร์ในกรุงคาบูลพยายามโทรศัพท์ติดต่อซิดดิกี แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือของซิดดิกีหยุดลงเมื่อเวลา 9.06 น.
ระหว่างที่มาซูดประชุมทางไกลกับช่างภาพรอยเตอร์ในกรุงคาบูล ช่างภาพรอยเตอร์คนหนึ่งส่งภาพที่ไวรัลในสื่อสังคมออนไลน์ให้มาซูดดูทำให้รู้ทันทีว่าชายที่อยู่ในรูป คือ ซิดดิกีนั่นเองและมีเพียงเสียงผ่านลำคอว่า “โอ พระเจ้า เขาถูกฆ่า”
ด้านพลเอกไฮบาทูลลาห์ อาลิไซ ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษอัฟกานิสถานกล่าวว่าซิดดิกีหลบในมัสยิดโดยมีหน่วยแพทย์ของกองกำลังพิเศษรักษาบาดแผล
ขณะที่กำลังอพยพออกมัสยิดเพราะตาลิบันโจมตีหน่วยราชการทุกหน่วยและได้รับคำสั่งให้ถอนกองกำลัง นายพลอาลิไซติดต่อกับทหารกองกำลังพิเศษ ซิดดิกีและหน่วยแพทย์ทหารไม่ได้อีกเลย
ส่วนครอบครัวและเพื่อนร่วมงานรับรู้ว่าซิดดิดีจากไป หลังจากเห็นภาพศพที่ส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์
..............
ผลงานภาพข่าวซิดดิกี ในเหตุการณ์สำคัญของโลก