คกก.โรคติดต่อฯเห็นชอบมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่าน "โควิด" สู่โรคประจำถิ่น

วันนี้( 9 มี.ค.65) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 2 พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวง โดยมีวาระประชุม อาทิ ความก้าวหน้าให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการออกหนังสือรับรองสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคกรณีโควิด-19 การรายงานสถานการณ์ติดเชื้อโควิด- 19 ในประเทศ
มาตรการเข้าประเทศสำหรับผู้เดินทางในกลุ่ม เทสแอนโก แนวทางปฏิบัติการวินิจฉัยดูแล รักษาป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ส่วนประเด็นที่น่าจับตา คือ มาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาด โควิด-19 สู่การเป็นโรคประจำถิ่น
นายอนุทิน ระบุ ภายหลังการประชุมว่า ประเด็นสำคัญที่ประชุมเห็นชอบ หลักการแผนและมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น ซึ่งเวลานี้หลายประเทศที่เตรียมการเปลี่ยนผ่านโควิด 19 ไปสู่โรคประจำถิ่น เช่น ประเทศในทวีปยุโรป ของไทยเน้นอยู่บนพื้นฐานสุขภาพที่ดีของคนไทยทุกคน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เช่น มาตรการ การเฝ้าระวังและมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ การเฝ้าระวังในประเทศ การสอบสวนโรค การบริหารจัดการวัคซีน มาตรการป้องกันและควบคุมโรค มาตรการด้านการแพทย์ รวมถึงมาตรการทางกฎหมายที่จะต้องมีการปรับให้สอดลคล้องเช่นการยกเลิก ประกาศ พรก.ฉุกเฉินเพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด -19 และมาตรการทางสังคมในส่วนของประชาชนก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลอยู่และเคร่งเรื่องการรับวัคซีนตามกำหนด
โดยจะมีขั้นตอนกำหนดตามสถานการณ์เป็นระยะๆ เป้า 4 เดือนต่อจากนี้ ภายใต้ความปลอดภับของประชาชน ปัจจัยการพิจารณา คือ อัตราการ การควบคุมโรค อัตรการการเสียชีวิตภายในประเทศ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด ขององค์การอนามัยโลก เบื้องต้นที่หลักสากล กำหนดอยู่ที่ 1 ในพัน หมายความว่า ใน 1 พันคนมีผู้เสียชีวิต1 คน หรือ อัตราผู้เสียชีวิต เฉลี่ยต้อง ไม่เกิน ร้อยละ 0.1 ความพร้อมยาในการรองรับผู้ป่วย การเข้าถึงยาอย่างรวดเร็ว
โดยขอให้กรมควบคุมโรค ทำข้อมูลอย่างละเอียดในการจำแนกปัจจัยการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อจะได้รู้ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุการเสียชีวิตรวมไปถึงมาตรการทางสังคมอื่นๆที่จะต้องมีการปรับให้สอดลคล้องเช่นการยกเลิก ประกาศ พรก.ฉุกเฉินเพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด -19
ขณะเดียวกัน เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิดที่มีกว่า 2 ล้านคน รวมถึงกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีรเข็มกระตุ้น ให้เข้ารับก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในช่วงสงกรานต์ เบื้องต้นไม่ได้มีการห้ามเดินทางประชาชนสามารถที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ แต่ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ส่วนความคืบหน้าการรักษา เกณฑ์ค่าใช้จ่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตโควิด-19 กลุ่มสีเหลืองและแดงยังสามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ทุกแห่งจนหายโดยไม่ต้องย้ายโรงพยาบาล และไม่กำหนดระยะเวลาจ่ายค่าชดเชยเฉพาะ 72 ชั่วโมงแรก ส่วนกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว สามารถเข้ารับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลตามสิทธิ เน้นการดูแลแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก เจอ แจก จบ หากจะไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
ทั้งนี้ กรมการแพทย์อยู่ระหว่างปรับไกด์ไลน์ หรือ แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด ฉบับล่าสุด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุถึง รายละเอียด แนวทางมาตรการโรคประจำถิ่น เป็นการวางเป้าภายใน 4 เดือน คาดการณ์ว่า ปลายเดือนมิถุนายน จำนวนผู้ติดเชื้อละลดลงอยู่ที่ประมาณ1,000- 2,000 คนต่อวัน ซึ่งจะทำให้การรักษาสามารถรองรับได้
-ระยะแรก 12 มีนาคม - ต้นเมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงขาขึ้นของการแพร่ระบาด ยังคงมาตรการควบคุมโรคเหมือนเดิม
- ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศยังคงต้องตรวจเชื้อ rt-pcr ในวันแรก รวมถึงการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ในวันที่ 5 และหากยังไม่ได้รับวัคซีนให้กักตัว 10 วัน
- ระยะ2 ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ยังเป็นช่วงที่การระบาดสูง ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ในวันแรก และวันที่ 5 ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนให้กักตัว 5 วัน
- ระยะ3 ปลายเดือนพฤษภาคม- มิถุนายน เป็นช่วงผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ได้รับวัคซีน ให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ที่สนามบิน
- ระยะ 4 หรือ ระยะหลัง ช่วง 30 มิถุนายน จะเริ่มเป็นโรคติดต่อทั่วไป ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไม่ต้องตรวจหาเชื้อทั้ง ATK และ RT-PCR
ส่วนการสอบสวนโรคในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ยังคงต้องควบคุม คลัสเตอร์กลุ่มเสี่ยงรุนแรง คลัสเตอร์ ระบาดเป็นวงกว้าง เพื่อลดการเสียชีวิต
ส่วนระยะที่ 3 และระยะที่ 4 การสอบสวนโรค จะเน้นการค้นหา ปัจจัยต่อการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
ขณะที่มาตรการควบคุมโรค ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ยังคงควบคุมในสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอยู่ ส่วนระยะที่ 3 และระยะที่ 4 สถานที่ส่วนใหญ่เปิดได้ตามปกติ เช่น สถานบันเทิงผับบาร์ที่สามารถเปิดได้ แต่ยังคงมาตรการสาธารณสุข
ข้อมูลจาก ผู้สื่อข่าว TNN ช่อง 16
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว TNN ช่อง 16