IVLโกยแชร์PETสหรัฐ รับเต็ม‘ทรัมป์’เก็บภาษี

#IVL #ทันหุ้น - IVL รับอานิสงส์สหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติก PET จากหลายประเทศสูงสุด 50% เหตุมีโรงงาน ผลิตในสหรัฐ พร้อมเพิ่มกำลังผลิตโดยไม่ต้องแบกต้นทุนคงที่เพิ่ม ดันมาร์เก็ตแชร์โต ชูกลยุทธ์ “Local-for-Local” ลงทุนใกล้ลูกค้า ลดความเสี่ยงด้านภาษี-โลจิสติกส์ พร้อมปรับพอร์ตสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ลงทุนด้านรีไซเคิล-ความยั่งยืน หนุนการเติบโตระยะยาว
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เปิดเผยว่า ปัจจุบันเก็บภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติก (Polyethylene Terephthalate : PET) แบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากประเทศคู่ค้า อาทิ ประเทศตุรกี ประมาณ 15%, ประเทศแคนาดา ประมาณ 35%, ประเทศในเอเชียแปซิฟิก (บางส่วน) ประมาณ 20%, ยกเว้นประเทศอินเดียอาจถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 50% ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้สินค้ากลุ่มเม็ดพลาสติก PET ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีมาก่อน
@รับอานิสงส์เต็ม
โดยเป็นผลจากสหรัฐ เป็นผู้บริโภคเม็ดพลาสติก PET รายใหญ่ มีการนำเข้าประมาณ 1 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 25% ของความต้องการใช้ (Demand) ภายในสหรัฐ ทำให้การเก็บภาษีดังกล่าวของสหรัฐ จึงเป็นผลดีต่อ IVL เพราะ IVL เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET รายใหญ่ภายในสหรัฐ โดยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เม็ดพลาสติก PET ชดเชยส่วนที่เคยนำเข้า
ขณะเดียวกัน IVL ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยโรงงานในสหรัฐฯ ได้ถูกออกแบบให้ใช้ก๊าซอีเทนเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทิลีน (Ethylene) และต่อยอดเป็น พาราไซลีน (PX), PTA หรือ MEG ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เม็ดพลาสติก PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ของ IVL ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนไว้ได้แม้ในสภาวะตลาดโลกที่ผันผวนและมีกำลังการผลิตส่วนเกินเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
นายดีลิป กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ IVL คือการศึกษาทำเลที่ตั้งฐานการผลิตให้อยู่ใกล้กับศูนย์กลางความต้องการและลูกค้า โดยปัจจุบันมีโรงงานผลิตราว 114 แห่งใน 32 ประเทศทั่วโลก นอกจากจะเป็นการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์แล้ว ยังช่วยให้ IVL มีโครงสร้างการผลิตที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของคู่ค้าได้ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั่วไป (Mass Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์พิเศษ (Niche Products) ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ป้องกันผลกระทบจากภาษี อีกทั้งยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ IVL สามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“การปรับขึ้นอัตราภาษีของสหรัฐ มาตรการกีดกันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มุ่งสู่การพึ่งพากันเองภายในภูมิภาคมากขึ้น เป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าโมเดล Local-for-Local มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน”
@เน้น JV
สำหรับการลงทุนในแต่ละภูมิภาค IVL มุ่งแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์และการร่วมลงทุน (Joint Ventures) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดภูมิภาร ทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการขยายขนาดธุรกิจสร้างนวัตกรรม ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนและความผันผวนสูง โดยประเทศที่บริษัทเน้นจะเป็นตลาดที่เติบโตสูง
นายดีลิป ระบุว่า IVL ยังปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value) มากขึ้น เช่น กลุ่มสุขอนามัย ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านโดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากธุรกิจ Fibers และ Indovinya ซึ่งครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (Surfactants) สำหรับการใช้งานที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ที่สูงกว่า อีกทั้งยังเป็นสาระสำคัญที่จำเป็นในกระบวนการผลิต
พร้อมกันนี้ IVL ยังลงทุนสร้างนวัตกรรมและลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงและผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนซึ่งรวมถึง PET จากชีวภาพ ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ และ rPET ตอบสนองต่อความต้องการด้านความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“ประสบการณ์และผลงานที่แข็งแกร่งของเราในด้านการลดคาร์บอนและการรีไซเคิล สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
