'ส่งออกเด็กดั่งสัมภาระ' รัฐบาลเกาหลีใต้มีส่วน ละเมิดสิทธิ ส่งทารกเป็นบุตรบุญธรรมในต่างแดน

ส่งเด็กกำพร้า ไปเป็นลูกๆ ให้กับครอบครัวอุปถัมภ์ยังต่างประเทศ
นี่เป็นกระบวนการที่ไม่มีประเทศไหนในโลก ทำมากเท่ากับประเทศเกาหลี ที่ส่งเด็กๆ ไปเป็นบุตรบุญธรรมในประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลี และจนถึงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ยังคงมีการส่งไปอยู่ จนประเทศนี้ได้ชื่อว่า มีโครงการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ ที่ดำเนินการยาวนานที่สุดในโลก
แต่การส่งเด็กๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นการให้เด็กๆ ได้ไปมีโอกาสที่ดีนี้ กลับพบว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย จากการเปิดเผยเอกสารล่าสุดของคณะกรรมการความจริงและการปรองดอง (TRC) ที่พบว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ ทั้งยังมีการปลอมแปลงเอกสาร การพรากแม่แท้ๆ จากลูก และการส่งเด็กไปเพื่อหากำไรด้วย
รับเลี้ยงบุตรระหว่างประเทศ โครงการที่เกิดขึ้นหลังสงครามเกาหลี
โครงการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ เริ่มต้นประมาณปี 1953 โดยแรกเริ่มนั้น มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเด็กๆ ลูกครึ่ง ที่เกิดกับหญิงเกาหลี และทหารอเมริกัน ที่มาตั้งฐานทัพในประเทศ หรือที่เรียกว่า ‘G.I. Baby’ ที่กลายเป็นเด็กกำพร้าหลังสงครามเกาหลี ให้ได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดูในต่างประเทศ ซึ่งต่อมาก็รวมไปถึงเด็กเกาหลีด้วย โดยมีองค์กรศาสนาในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และในยุโรปตะวันตกที่ร่วมมือ
โดยแฮร์รี่ โฮลต์ ชาวอเมริกันที่อยากช่วยเหลือเด็กๆ กำพร้าในเกาหลีโดยเฉพาะ G.I. Baby ได้เดินทางมาเกาหลี และเริ่มรับเด็ก 8 คนจากเกาหลีไปสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเกิดกระแสข่าว และความสนใจมากขึ้น ทำให้เขาตั้งหน่วยงาน Holt International Children's Services และส่งเด็กเกาหลี ไปเป็นเด็กบุญธรรมในสหรัฐฯ มากขึ้น
หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการส่งเด็กเกาหลีไปยังยุโรป โดยประเทศแรกคือสวีเดน ก่อนที่หน่วยงานจะประสานส่งไปยังประเทศอื่นๆ อย่างนอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี
จากข้อมูลของกลุ่มสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่เริ่มมีการส่งเด็กบุญธรรม เด็กชาวเกาหลีใต้ราว 200,000 คนได้รับการรับเลี้ยงในต่างประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของการรับเลี้ยงทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ในยุคการปกครองแบบเผด็จการของ ปธน.ปาร์ค จุงฮี และชอน ดูฮวาน และถูกส่งไปยังเดนมาร์กมากถึง 9,000 คน ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมข้ามชาติต่อหัว สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ไม่ใช่แค่การส่งเด็กให้ถูกเลี้ยง แต่คือธุรกิจทำเงินของรัฐบาล ?
แต่การรับเลี้ยงเด็ก ที่เริ่มจากการอยากช่วยเหลือเด็กกำพร้าของชาวอเมริกัน เริ่มกลายเป็นธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเกาหลีใต้เริ่มพัฒนา และมีหน้ามาตาในระดับโลกมากขึ้น โครงการส่งเด็กเหล่านี้ก็ถูกต้องคำถาม
บทความในปี 1988 ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกใน The Progressive ชี้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ทำเงินได้ 15 ถึง 20 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 380 - 500 ล้านบาท ตามเรทเงินในปี 1988) จากการรับเด็กกำพร้าชาวเกาหลีไปเลี้ยงโดยครอบครัวในประเทศอื่น
บทความยังระบุด้วยว่าการรับเด็กกำพร้าชาวเกาหลี มีผลในทางบวกกับรัฐบาลสามประการ คือ
1) ช่วยให้รัฐบาลเกาหลีใต้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กกำพร้าชาวเกาหลี
2) ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ต้องคิดหาทางจัดการกับเด็กกำพร้า
3) ลดจำนวนประชากร
ทั้งเมื่อเกาหลีใต้ได้เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ในปี 1988 การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศของเด็กชาวเกาหลีใต้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลก ทำให้รัฐบาลเริ่มกำหนดระบบโควตาสำหรับการรับบุตรบุญธรรมจากต่างประเทศมาใช้ โดยในปี 1987 ได้เริ่มควบคุมจำนวนการบุตรบุญธรรมไปต่างประเทศ โดยลดจำนวนจากร้อยละ 5 มาเป็นร้อยละ 3 ต่อปี
จากประมาณ 8,000 คนในปี 1987 เหลือ 2,057 คนในปี 1997
แผนนี้ มีเป้าหมายเพื่อจะยกเลิกการส่งบุตรบุญธรรมไปต่างประเทศภายในปี 2015 แต่ในปี 1998 รัฐบาลได้ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าวเป็นการชั่วคราว หลังจากที่จำนวนเด็กที่ถูกทอดทิ้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น
ในปี 1998 อดีตประธานาธิบดี คิม แดจุง ได้เชิญเด็กที่ถูกส่งไปรับเลี้ยงในต่างประเทศ 29 คน จาก 8 ประเทศ เข้าร่วมการประชุมส่วนตัวที่ทำเนียบประธานาธิบดี และในระหว่างการประชุม เขาได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณชน ที่เกาหลีใต้ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กๆ ของตัวเองได้
การค้นหาตัวตนในบ้านเกิด เมื่อตัวตนของเด็กๆ ไม่ใช่เด็กกำพร้าตามที่บอกเล่า
ในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อเด็กเหล่านี้เริ่มเติบโตขึ้น พวกเขาได้เดินทางกลับมายังเกาหลีในฐานะนักท่องเที่ยว เพื่อตามหาตัวตน และบ้านเกิดของพวกเขามากขึ้น
แต่หลายคนกลับพบว่า ต้นกำเนิดของเขาไม่ตรงกับสิ่งที่ถูกบอกเล่า และเด็กหลายคนที่คิดว่าตัวเองกำพร้า จริงๆ แล้วเขามีพ่อแม่ และถูกพรากจากครอบครัวให้ไปเป็นเด็กบุญธรรม
ยกตัวอย่างเคสของ โรเบิร์ต คาลาเบรตตา ถูกส่งไปเป็นเด็กบุญธรรมในสหรัฐฯ ตั้งแต่เขาอายุเพียงไม่กี่วัน เขาเล่าว่าตลอดชีวิตเขาคิดว่า เขาถูกพ่อแม่ทิ้งเพื่อให้ชาวอเมริกันรับเลี้ยง แต่ในวัย 30 เขากลับรู้ว่า เอกสารในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของเขาไม่ตรงกับความเป็นจริง และพ่อแม่แท้ๆ ของเขาเองก็ได้รับแจ้งในปี 1986 ว่า ทารกของพวกเขาป่วยหนัก และถูกทำให้เข้าใจว่าลูกของพวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว
ไม่ใช่แค่โรเบิร์ตเท่านั้น แต่การสืบสวนของสำนักข่าว AP ที่ร่วมกับ Frontline (PBS) จากการสัมภาษณ์ชาวเกาหลีที่ถูกอุปถัมภ์ในต่างประเทศ ผู้ปกครอง พนักงาน และเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงเอกสารต่างๆ ยังพบว่าเด็กบางคนถูกจับตัวจากที่ต่างๆ และถูกส่งไปต่างประเทศ ครอบครัวที่แท้จริงมักถูกแจ้งว่า ทารกแรกเกิดของพวกเขาเสียชีวิต หรือป่วยเกินกว่าจะรอดชีวิตได้
และส่งเด็กเหล่านั้นไป รวมถึงเอกสารยังมีการถูกปลอมแปลง จ่ายเงินให้โรงพยาบาลด้วย
นำมาสู่การสอบสวน ยื่นคำร้อง จนหน่วยงานสิทธิมนุษยชน และค้นหาความจริงในเกาหลีใต้ จนเป็นการเปิดแถลงการอย่างเป็นทางการถึงการสืบค้น
‘เมื่อรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องละเมิดสิทธิมนุษยชน’ ’การแถลง และยอมรับครั้งแรก
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (26 มีนาคม 2568 ) คณะกรรมการความจริงและการปรองดอง (Truth and Reconciliation Commission หรือ TRC) แถลงข้อมูล ที่พบว่ารัฐบาลเกาหลีในอดีต ต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการส่งบุตรบุญธรรมไปต่างประเทศตั้งแต่ช่วงปี 1960 ถึง 1990 โดยชี้ให้เห็นถึงการบันทึกข้อมูลอันเป็นเท็จและการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ
คณะกรรมการแถลงว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ปลอมแปลงทะเบียนการเกิด แจ้งเท็จว่าเด็กถูกละทิ้ง และไม่ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของพ่อแม่ที่เป็นผู้อุปถัมป์อย่างเหมาะสมในช่วงหลังสงคราม
ซึ่งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมที่ใหญ่โตและทำกำไรมหาศาล
คณะกรรมการยังแถลงถึงกระบวนการนี้ว่า สำนักงานบริการสังคมเกาหลี (Korea Social Service) เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินบริจาค 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเด็กหนึ่งคนจากครอบครัวที่รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมในปี 1988 (ประมาณ 38,000 บาท และ 10,000 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนปี 1988 )
ซึ่งเงินทุนบางส่วนถูกนำไปใช้ในการหาเด็กเพิ่มเติม ทำให้การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศกลายเป็น ‘อุตสาหกรรมที่มุ่งแสวงหากำไร’ คณะกรรมการกล่าว
รายงานชี้ว่า การส่งออกทารกของเกาหลีใต้ถึงจุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980 โดยมีเด็กมากถึง 8,837 คนที่ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศในปี 1985 โดยให้เด็กๆ "ถูกส่งไปต่างประเทศเหมือนกระเป๋าเดินทาง"
ผลการตรวจสอบที่ถูกแถลงนั้น เป็นการตรวจสอบจากคำร้อง 100 กรณี จากคำร้อง 367 ฉบับ ที่ยื่นโดยบุตรบุญธรรมที่ถูกส่งไปต่างประเทศระหว่างปี 1964 ถึง 1999 โดยพวกเขามาจาก 11 ประเทศที่ถูกส่งไป และหลายคนเชื่อว่าการรับบุตรบุญธรรมของพวกเขา อาจเป็นผลมาจากการทุจริต และการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
หนึ่งในเคสที่มีการยกมาคือ เคสในปี 1980 ที่แม่ที่ให้กำเนิดได้ลงนามในแบบฟอร์มยินยอมในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมหลังคลอดบุตร แต่คณะกรรมการพบว่า พวกเขารับเด็กหลังสัมภาษณ์แม่เพียงครั้งเดียว โดยที่ไม่มีการตรวจสอบตัวตนหรือความสัมพันธ์ทางสายเลือดของแม่และเด็กเลยด้วย ซึ่งเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์
หรือในการแถลงเอง คิม ยูรี หนึ่งในบุตรบุญธรรมที่ถูกรับเลี้ยงในฝรั่งเศสปี 1984 ก็เล่าว่า เธอพบว่าเอกสารที่บันทึกว่าเธอเป็นเด็กกำพร้านั้นเป็นเท็จ และเพื่อนของเธอที่ถูกรับเลี้ยงยังถูกทารุณกรรมด้วย
“เพื่อนของฉันถูกนำไปเลี้ยงดูในฝรั่งเศสผ่านโฮลต์ในปี 1974 และถูกพ่อบุญธรรมข่มขืนตั้งแต่เขาเป็นทารกอายุ 5 เดือนจนถึงอายุ 10 ขวบ” และ “รัฐบาลเกาหลีและหน่วยงานรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมเอกชนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เหยื่อของการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างผิดกฎหมายถูกปล่อยให้คลานไป ฉันขอร้องให้คุณยุติสถานการณ์อันน่าละอายนี้ลงที” เธอกล่าวในงานแถลง
ในรายงาน คณะกรรมการยังระบุว่า "เป็นเวลาเกือบ 50 ปีหลังสงครามเกาหลี รัฐบาลให้ความสำคัญกับการรับบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มทุนมากกว่าการเสริมสร้างนโยบายสวัสดิการเด็กในประเทศ การมอบอำนาจเต็มที่ในการดูแลขั้นตอนการรับบุตรบุญธรรมแก่หน่วยงานเอกชนโดยไม่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม ถือเป็นการล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องสิทธิเด็ก" คณะกรรมการระบุในรายงาน
“การขาดการกำกับดูแลทำให้ยากต่อการควบคุมการประพฤติมิชอบของหน่วยงานรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม ซึ่งส่งผลให้มีการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมจำนวนมากในต่างประเทศ” รายงานดังกล่าวระบุ
นี่ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐบาลเกาหลีเกี่ยวกับความไม่ปกติในระบบการรับบุตรบุญธรรมจากต่างประเทศก่อนหน้านี้ของประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้รับบุตรบุญธรรมหลายร้อยคนได้หยิบยกขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และหลังการแถลงทั้งหน่วยงาน และบุตรบุญธรรมเองต่างก็ชี้ว่า นี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และพวกเขาจะค้นหาความจริง และเรียกร้องการรับผิดชอบต่อไปด้วย